Categories
Sport

อนาคตของ ชัปปุยส์ จะเป็นอย่างไรนับจากนี้

ในยุคโควิด-19 แบบนี้ สโมสรฟุตบอลในไทย ต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า เพราะไม่มีรายได้เข้ามาเลยราว 1 ปีกว่าๆแล้ว นั่นจึงทำให้นักเตะไทยราคาแพงที่ต้องต่อสัญญาในช่วงระยะนับจากนี้ จะไม่มีทางได้ค่าเหนื่อยที่มากไปกว่าเดิม รวมไปถึงแข้งที่โชว์ฟอร์มตก ที่คงจะยากยิ่งกับการได้เงินเดือนเท่าเดิม ซึ่งตรงจุดนี้กำลังโยงไปถึง ชาริล ชัปปุยส์ ที่อนาคตนับจากนี้ คงไม่มีสิทธิ์จะมารับค่าเหนื่อยแพงระยับได้อีก

          จริงๆแล้ว ชาริล ชัปปุยส์ ก็ไม่ได้มีฟอร์มการเล่นที่ดีมาตั้งแต่สมัยอยู่ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แล้ว แต่การย้ายมาสู่ถิ่นกิเลนผยอง มันได้ช่วยสร้างมูลค่าทางการตลาดและรายได้ที่เพิ่มขึ้น ผ่านการขายของที่ระลึก กระทั่งปี 2020 ก็ได้ย้ายข้ามฝากมาอยู่กับ การท่าเรือ เอฟซี ด้วยความหวังว่าจะสามารถยกระดับทีม เพิ่มมีมูลค่าทางการตลาด รายได้ และฐานแฟนคลับให้กว้างไกลออกไป ซึ่งราคาที่มาดามแป้งต้องจ่ายเป็นค่าเหนื่อยสำหรับการดึงตัวในครั้งนี้ ตกเดือนละ 7 แสนบาท แต่จากที่เห็นเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ชัปปุยส์ ใช้เวลาส่วนใหญ่บนม้านั่งสำรอง ส่วนการลงสนามจะเป็นในฐานะตัวสำรองช่วง 10-15 นาทีท้าย หรือถ้าหากการลงเต็มเกม ก็จะมีเพียงในทัวร์นาเมนต์บอลถ้วยรอบแรกๆ ฉะนั้นการจ่ายเงินเดือนมากขนาดนี้ แต่เล่นได้แค่นี้ มันจัดว่าขาดทุนบรรลัยสำหรับคนจ่าย  

อนาคตของ ชัปปุยส์ จะเป็นอย่างไรนับจากนี้
อนาคตของ ชัปปุยส์ จะเป็นอย่างไรนับจากนี้

ทีนี่หากถามว่าถ้า ชัปปุยส์ ต้องย้ายทีม มันมีเงื่อนไขส่วนตัวอะไรบ้าง อย่างแรก คือ นักเตะต้องการอยู่อาศัยในกรุงเทพ หรือปริมณฑล อีกทั้งไม่ต้องการย้ายออกไปต่างจังหวัด นั่นจึงทำให้ตัวเลือกน้อยลง แต่เมื่อกวาดสายตาดู ก็จะพบว่าไม่มีทีมไหนจะยอมจ่ายค่าตัวแพงระยับกับผู้เล่นที่ฟอร์มตกแบบนี้ เพราะขนาดบ้านเก่าอย่าง เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ก็ให้ได้เต็มที่ คือ 3 แสนบาทต่อเดือน หรืออีกตัวเลือกที่นักเตะอาจจะไม่สนใจ แต่อาจเป็นผลดีกับเจ้าตัว คือ ชลบุรี เอฟซี ที่ลือๆกันว่าเคยคิดยื่นข้อเสนอขอยืมตัวและช่วยจ่าย 10-20% ของเงินเดือน โดยหากย้ายมาอยู่ที่นี่จะไม่ใช่การมากอบโกยเงิน หากแต่เป็นการบำบัดฟื้นฟูฟอร์มการเล่นที่ตกลงมานานหลายปี ให้ฟื้นคืนเหมือนเมื่อ 5-6 ปีก่อน 

อนาคตของ ชัปปุยส์ จะเป็นอย่างไรนับจากนี้
อนาคตของ ชัปปุยส์ จะเป็นอย่างไรนับจากนี้

          ฉะนั้นจากที่เล่ามาทั้งหมดนี้ จึงเป็นทางเลือกที่ ชัปปุยส์ ต้องพิจารณาอย่างจงหนัก เพราะถ้าหากมองเรื่องสถานที่และเงิน การค้าแข้งอยู่ในไทยจะลำบากมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฟอร์มการเล่นสวนทางกับเงินเดือนที่สูง แต่ถ้าหากเลือกจะพัฒนาตัวเองเป็นอันดับแรก การค้าแข้งในไทยก็จะยังคงเปิดกว้างต่อไปสำหรับมาดฟิลด์รูปหล่อผู้นี้

ติดตามข่าวสารฟุตบอลได้ที่ tarutaofc.com

Categories
Sport

จัดอันดับตัวเต็ง 5 ทีม ลุ้นคั่วแชมป์ไทยลีก 1

นับจากนี้ไม่เกิน 2 เดือน ฟุตบอลไทยลีก 1 จะกลับมาแข่งขันกันอีกครั้งแน่ เหลือตรงที่ว่าจะแข่งขันแบบสนามใครสนามมัน หรือแข่งแบบบั้บเบิ้ล อย่างไรเสียก่อนออกสตาร์ท เราจะจัดอันดับ 5 ทีมเต็ง ที่มีลุ้นแชมป์ในปีนี้ ซึ่งในท้ายที่สุดจะแม่นยำและไม่หลุดโผจากนี้หรือไม่ ในอนาคตเรามาดูกัน

 การท่าเรือ เอฟซี
การท่าเรือ เอฟซี

ตัวเต็งลำดับ 5 การท่าเรือ เอฟซี

          การเสริมทัพยังดูโหดเหี้ยมไม่เสื่อมคลายก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังรักษามาตรฐานได้ดี คือ การซื้อตัวที่ไม่ตรงกับความต้องการของทีม ซึ่งการดึงโค้ชโอ่งเข้ามา ก็มีความเสี่ยงไม่น้อยที่จะเป็นเหยื่อรายต่อไปกับความล้มเหลวของทีม แต่ถ้าหากโค้ชโอ่ง พาทีมไปถึงแชมป์ ก็คงต้องสะดุดดีสัก 3 วัน 7 วัน  

สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด
สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด

ตัวเต็งลำดับ 4 สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด

          แม้ว่าจะสภาพทีมจะดูเหมือนถังแตกและเงินน้อย เพราะเสียตัวผู้เล่นไปหลายราย แต่ไม่มีข่าวคราวซื้อเข้ามา อย่างไรเสียด้วยผลงานที่ผ่านและเตะตาที่สุดใน ACL จึงทำให้กาชื่อทิ้งไม่ได้ จนต้องใส่ไว้ในฐานะตัวเต็ง แม้จะมีข้อจำกัดสำคัญ คือ หากตัวต่างชาติเจ็บ หรือโดนแบน มันค่อนข้างสะเทือนกับผลงานของทีม

ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด

ตัวเต็งลำดับ 3 ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด

          การเข้ามาของโค้ชแบน ค่อยๆสร้าง บียู ให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้จากผลงานในเลกที่ 2 เมื่อฤดูกาลก่อน ที่เร่งเครื่องขึ้นมาจบอันดับที่ 5 ได้ อย่างไรเสียด้วยขุนกำลังที่ไม่ได้หลากหลายมาก ก็อาจมีผลให้ยืนระยะไม่อยู่ในภาวะที่การแข่งขันต้องเตะถี่ๆเช่นนี้

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

ตัวเต็งลำดับ 2 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

          ปีที่แล้วคว้าน้ำเหลวก็จริง แต่ผลงานในเลกที่ 2 ถือว่ายอดเยี่ยม กับการเร่งเครื่องจนมาจบตำแหน่งรองแชมป์ ส่วนในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา พวกเขาหันมาใช้นโยบายดึงตัวผู้เล่นไทยเกรดดี ส่วนโควตาต่างชาติไม่โละแบบบ้าระห่ำอีกแล้ว เว้นเสียแต่โควตาเอเชียที่ดึงผู้เล่นในเกมรับมาเติมเต็ม ฉะนั้นไทยลีก 1 ฤดูกาลใหม่นี้ จะมาประมาทขุนพลปราสาทสายฟ้าทีมนี้ไม่ได้อีกแล้ว

 บีจี ปทุม ยูไนเต็ด  
บีจี ปทุม ยูไนเต็ด  

ตัวเต็งลำดับ 1 บีจี ปทุม ยูไนเต็ด  

          ด้วยความที่ทีมลงตัวและไม่เสียผู้เล่นตัวหลักออกไป ทำให้คาดได้ว่าความแข็งแกร่งคงไม่ต่างไปจากเดิม อีกทั้งยังมีการเสริมตัวไทยและโค้ชเข้ามา จนได้เห็นผลไปแล้วในศึก ACL ที่ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะต้องยกให้เต็ง แต่จงจำไว้เสมอว่าการเป็นแชมป์ที่ว่ายากแล้ว การป้องกันแชมป์ไทยลีก 1 ฤดูกาลนี้ยาก

ติดตามข่าวสารฟุตบอลได้ที่ tarutaofc.com

Categories
Sport

การที่ การท่าเรือ เอฟซี คว้าโค้ชโอ่งไปคุมทีม อาจไม่ได้ผลดีอย่างที่คิด

ถึงตอนนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่า การท่าเรือ เอฟซี ได้ของยืม โค้ชโอ่ง ดุสิต เฉลิมแสน จาก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด มาเป็นเวลา 1 ฤดูกาล โดยการเข้ามาของอดีตแบ็คซ้ายทีมชาติไทย สิงห์เจ้าท่าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะนำพาทีมให้ยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อปีที่แล้วกับ กระต่ายน้ำเงินคราม อย่างไรเสียหากมองแบบลึกๆ มันก็มีหลายมุมที่เป็นไปได้ว่าผลงานนับจากนี้ของยอดทีมจากคลองเตย อาจไม่สวยหรูอย่างที่คาดไว้

          หากย้อนกลับไปเมื่อปีแล้ว บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ไม่ใช่เต็งแชมป์ เพราะนักเตะไม่ได้เด็ดดวง ขณะที่ตัวโค้ชโอ่ง ก็ไม่ได้ถูกคาดหวังว่าจะต้องพาทีมเป็นแชมป์ แต่กระนั้นด้วยจังหวะที่ฟุตบอลพักเบรกเพราะโควิด-19 ผนวกกับผลงาน 3 นัดแรกดี อีกทั้งหลายทีมมีเหตุต้องโละนักเตะตัวหลักออก นั่นจึงทำให้บอร์ดบริหาร โค้ชง้วง และโค้ชโอ่ง มานั่งคุยกันว่าจะเล่นระบบอะไร จากนั้นก็ไปไล่หานักเตะชั้นยอดมาสู่ทีมจนครบ ซึ่งการที่ทีมมีนักเตะระดับพระกาฬในตำแหน่งนั้นๆโดยไม่ทับซ้อนกัน

 การท่าเรือ เอฟซี
การท่าเรือ เอฟซี

มันจึงช่วยให้การสร้างทีมเวิร์คใช้เวลาไม่นาน แล้วสุดท้าย บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก็ติดลมบนและคว้าแชมป์ โดยที่ โค้ชโอ่ง แทบจะไม่ต้องปวดหัวกับการวางระบบ เว้นเสียแต่บางนัดที่ต้องมีการแก้เกมบางนิดๆหน่อยๆ            บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ถูกจารึกสถิติว่าเป็นทีมที่คว้าแชมป์ได้รวดเร็วที่สุด แต่หากเจาะลึกไปลงไปที่แท็กติก ก็จะพบว่าเกมรุกของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ดูไม่หลากหลาย แม้ว่าในเลกที่ 2 จะเสริมตัวโหดในแนวรุกอย่าง ติอาโก้ กับ ธีรศิลป์ ซึ่งจากภาพที่ปรากฏ คือ การโยนยาวไปให้กองหน้า การโยนจากริมเส้น และกองหลังเติมขึ้นมาโหม่ง ฉะนั้นจึงไม่แปลกนักที่บอร์ดบริหารของกระต่ายน้ำครามจะลงความเห็นร่วมกัน แล้วหันไปดึง วิดมาร์ กลับมาคุมทีม เพราะเล็งว่ากุนซือชาวออสเตรเลียทำเกมรุกได้เต็มระบบกว่า

ทีนี้หันไปทางฝั่ง การท่าเรือ เอฟซี พวกเราต่างทราบกิตติศัพท์กันดีว่าเป็นทีมที่มีนโยบายซื้อนักเตะเอง มีการแทรกแซงเรื่องการจัดตัวผู้เล่น ในขณะที่โค้ชต้องน้อมรับทุกสิ่งที่เบื้องบนสั่ง แล้วก็อย่างที่รู้ๆกันว่ามันนำไปสู่ความล้มเหลว ฉะนั้นการที่สิงห์เจ้าท่า นำตัวโค้ชโอ่ง ไปคุมทีม ผลงานคงไม่หนีจากเดิม เพราะมีอีกหลายปัญหาที่ใครต่อใครมาก็แก้ไม่ตก นั่นคือ นักเตะในตำแหน่งเดียวกันมีมากเกินความจำเป็น ในขณะที่จุดอ่อนไม่เคยมีการเสริม ทำให้การเซตระบบ การสร้างทีมเวิรค์ทำได้ยาก ฉะนั้นหากการท่าเรือ เอฟซี ต้องการใช้ประโยชน์จากโค้ชโอ่ง อย่างสูงสุดในประสิทธิภาพสูงสุด ก็จำเป็นต้องปล่อยให้โค้ชทำงานแบบมีอิสระ ไม่ใช่แทรกแซงทุกอย่างและในทุกกระบวนการ

การท่าเรือ เอฟซี
การท่าเรือ เอฟซี

ติดตามข่าวสารฟุตบอลได้ที่ tarutaofc.com

Categories
Sport

การท่าเรือ เอฟซี “ซื้อเยอะ แต่ทำไมมือเปล่า”

นับตั้งแต่ มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ก้าวเข้ามารับตำแหน่งประธานสโมสร การท่าเรือ เอฟซี ก็กลายสภาพเป็นทีมที่มีสถานะร่ำรวย เพราะไม่ว่าจะอยากได้โค้ช หรือนักเตะคนไหน สิงห์เจ้าท่าก็คว้ามาได้

เกือบหมด และโดยเฉพาะในช่วง 2-3 ฤดูกาลล่าสุด ที่มาดามแป้งลงทุนหนักกว่าใคร แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมีแค่แชมป์ FA CUP ปี 2019 ซึ่งอะไร คือ สาเหตุที่ทำยอดทีมจากคลองเตยไม่สมหวังแบบสุดใจเสียที วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กัน          

การซื้อตัวของ การท่าเรือ เอฟซี มีนโยบายชัดเจนว่าบอร์ดบริหารและมาดามแป้ง เป็นผู้พิจารณาการซื้อตัว ซึ่งเมื่อเจาะลึกลงไปจะพบว่านักเตะที่ถูกดึงมาล้วนเป็นดาวดังที่มีชื่อเสียง โดยไม่คำนึงว่าซื้อมาแล้วจะได้ใช้หรือไม่ หรือซื้อมาแล้วจะเคมีเข้ากับทีมเหลือเปล่า

อีกทั้งบางทีนักเตะรายนั้นๆเคยเก่งแต่ฟอร์มตกมานานแล้ว อาทิ ชาริล ชัปปุยส์ ฉะนั้นการที่ สิงห์เจ้าท่า ซื้อแมวที่ถูกย้อมมา มันจึงทำให้นักเตะเหล่านั้นเสียของและไม่ได้ใช้ สุดท้ายนักเตะหลายรายต้องถูกดองเค็ม ถูกปล่อยยืม หรือปล่อยออกจากทีมทั้งที่เล่นไม่กี่นัด

การท่าเรือ เอฟซี “ซื้อเยอะ แต่ทำไมมือเปล่า”
การท่าเรือ เอฟซี “ซื้อเยอะ แต่ทำไมมือเปล่า”

หากใครดู การท่าเรือ เอฟซี ลงเล่นประจำ จะพบว่าตำแหน่งผู้รักษาประตูและกองหลัง คือ ตำแหน่งที่ทีมต้องการมากที่สุด แต่ในช่วง 2-3 ปีหลัง มาดามแป้ง ไปเน้นการซื้อตัวแต่กองหน้าและแนวรุก อีกทั้งการซื้อยังเอาเข้ามาในจำนวนที่มากเกินความจำเป็น

กระทั่งตำแหน่งของนักเตะเกิดการทับซ้อน อาทิ กองหน้าเป้า ควรมี 1-2 คน แต่ในทีมกลับมี 3-4 ราย ทำให้ภาพที่ปรากฏยาม สิงห์เจ้าท่า ลงแข่ง คือ เอากองหน้าไปเล่นปีก เอากองหน้าไปเล่นกองกลาง ซึ่งแน่นอนว่าทีมเวิร์คเกิดยาก เพราะต้องหาที่ลงให้นักเตะทั้งๆที่ไม่ใช่ตำแหน่งถนัด ขณะที่เกมรับก็เสียประตูอยู่เรื่อย ฉะนั้นในเมื่อหน้าไม่ดี หลังก็แย่ ผลงานที่ดีก็ไม่เกิด

การท่าเรือ เอฟซี “ซื้อเยอะ แต่ทำไมมือเปล่า”
การท่าเรือ เอฟซี “ซื้อเยอะ แต่ทำไมมือเปล่า”

ในช่วงที่ มาดามแป้ง เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ จะเห็นได้ว่าช่วงนั้นมีการใช้โค้ชชาวต่างชาติ กระทั่งในช่วงหลัง ท่านประธานสโมสรกล่าวว่าใช้โค้ชต่างชาติแล้วไม่โอเค แต่กระนั้นใครๆก็ทราบว่าโค้ชต่างชาติมักอยู่ไม่นาน เพราะไม่ชื่นชอบการแทรกแซงจากเบื้องบน

ทำให้การดึงโค้ชเข้ามาทำงานจะเน้นไปที่คนไทย แต่กระนั้นคนที่ยอมรับแนวทางนี้ได้ อาจไม่ได้มาพร้อมกับศักยภาพที่จะคุมทีมใหญ่ หรือคุมนักเตะซุปตาร์ให้อยู่ รวมถึงการแบกรับความกดดันกับเป้าหมายที่สูงลิบ

          จาก 3 ปัจจัยเหล่านี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นแนวทางการบริหารทีมที่ผิดฝาผิดตัวและเกาไม่ถูกที่คัน ซึ่งต่อให้ทุ่มเงินไปเท่าไร มันก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ ตรงข้ามกับการบริหารอย่างเป็นระบบ ที่อาจช่วยให้การท่าเรือ เอฟซี ประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้

การท่าเรือ เอฟซี “ซื้อเยอะ แต่ทำไมมือเปล่า”
การท่าเรือ เอฟซี “ซื้อเยอะ แต่ทำไมมือเปล่า”

ติดตามข่าวสารฟุตบอลได้ที่ tarutaofc.com