Categories
Sport

“โอ่งมา ชนะไม่เป็น”

การท่าเรือ เปิดบ้านเฉือน บีจี 1-0 ส่งโค้ชโอ่งไร้ชัย 2 เกมรวด

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 14 ในส่วนของโปรแกรมวันเสาร์ ณ สนามแพท สเตเดี้ยม การท่าเรือ เอฟซี ที่ผลงานเริ่มแจ่ม หลังจากโค้ชอู๊ดขึ้นมาขัดตาทัพ จะต้องพบกับทีมที่มีอดีตกุนซืออย่าง โค้ชโอ่ง นำ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด บุกมาเยือนทันที หลังจากพึ่งแยกทางกันไปได้เพียงอาทิตย์กว่าๆเท่านั้น สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม เจ้าบ้านใช้ระบบ 4-4-1-1 ส่วนทางฝั่งทีมเยือนมาแปลกในระบบ 5-4-1 พร้อมกับตัวผู้เล่นที่ดรอปตัวจริงกว่าค่อนทีม

       การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น เป็นฝั่ง การท่าเรือ ที่บุกใส่และโจมตีคู่แข่งทางริมเส้น ซึ่งการยืนหลัง 5 ของ บีจี ปทุม ดูจะปรับตัวไม่ได้ ดังจะเห็นได้จากการยืนที่ยังสับสน อีกทั้งเกมรุกก็แทบจะขึ้นไม่ได้และไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้เกมที่ปรากฏจะเป็นเจ้าบ้านโหมบุกใส่ทีมเยือน แต่ยังไม่มีจังหวะเหน่งๆในการจบสกอร์ กระทั่งกลายเป็น วิคเตอร์ ที่สกัดผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเองแบบโหดเหี้ยม

ครึ่งหลัง บีจี ปทุม ค่อยๆดีขึ้นทีละน้อย เริ่มจากลูกโด่งที่เริ่มมีโอกาสได้เปิดมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เข้าเป้า หรือต่อให้ถึงเป้าก็โหม่งไม่ดีไปเสียอีก ส่วนการเซตบอลด้วยเท้า มีช่วงเวลาสั้นๆที่ขึงบุกได้ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถป้อนบอลให้ไปถึงกองหน้าได้ ขณะที่ การท่าเรือ รูปเกมก็คล้ายๆกับครึ่งแรก คือ มีโอกาสบุก จะไปทางริมเส้นและผ่านแบ็คเข้ามา โดยการต้องยิงด้วยตัวเองยิงไม่ตรงกรอบและไม่อันตราย ทำให้สกอร์ค้างและจบที่ 1-0

      ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม การท่าเรือ เอฟซี เกมรับแทบไม่ถูกทดสอบอันใด เพราะประสิทธิภาพของคู่แข่ง  ดรอปลงไปเยอะมาก ส่วนเกมรุก มีแค่มุกเดียวและไม่มีจังหวะจบสกอร์ ฉะนั้น 3 แต้มในวันนี้ ต้องบอกว่าโชคดีมากกว่า ที่คู่แข่งถวายมาให้ ขณะที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด การเปลี่ยนระบบและตัวผู้เล่น มีผลชัดเจนให้รูปเกมดรอปลง โดยเฉพาะเกมรุก ที่ไร้ซึ่งมิติใดๆและไม่มีทางจะยิงคู่แข่งได้ หากฝ่ายตรงข้ามไม่พลาดให้ ขณะที่เดียวเกมรับ มี 3 กองหลัง และมีแบ็ค 2 ข้าง ถอยลงมา มันไม่ได้ช่วยให้เกิดความหนาแน่ แต่มันกลายเป็นปัญหา เพราะการยืนของแบ็ค กับ กองหลัง ไม่สัมพันธ์กัน กระนั้นการทำงานของ 3 กองหลัง ยังดีอยู่และน่าจะเป็นแสงสุดท้ายให้ทีมเอาแต้มกลับบ้าน แต่สุดท้ายดันมาพลาดสกัดเข้าประตูตัวเอง ทำให้ต้องพ่ายแพ้ไป อีกทั้งมันสามารถกล่าวในภาพรวมได้ว่าเกมนี้เป็นเกมหนึ่งที่ย่ำแย่ที่สุดของทีม  

ติดตามข่าว Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“ความกดดันเทไปที่ลุงพาร์ค”

เวียดนาม ประเดิมการเสียประตู สุดท้ายพ่าย ไทย 0-2 ในนัดแรก

ศึกฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 รอบรองชนะเลิศ นัดแรก คู่ที่ 2 ทีมชาติเวียดนาม ที่เข้ารอบมาในฐานะรองแชมป์กลุ่ม B จะต้องพบกับ ทีมชาติไทย ที่เป็นแชมป์กลุ่ม A โดยสถิติที่น่าสนใจก่อนเกม คือ พาร์ค ฮัง- ซอ ไม่เคยคุมทีมแพ้ไทย อีกทั้งทัวร์นาเมนต์นี้ยังไม่เสียประตูเลย สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม ขุนพลดาวทองมาในระบบ 3-4-2-1 หรือจะมองเป็น 3-4-3 ก็ได้ ส่วนทางฝั่งทัพช้างศึกใช้ 4-4-2 ไดม่อน

      การแข่งขันในช่วงต้นเกม ทีมชาติเวียดนาม ไม่ได้มารับต่ำ แต่ใช้วิธีการตั้งโซนตั้งแต่แดน 1 ซึ่งเมื่อใดที่ฝ่ายตรงข้ามพาบอลเข้ามา ก็จะเข้าถึงบอลและปะทะแบบหนักหน่วง อย่างไรเสียพอได้บอลเอาไปทำเกมรุก พวกเขาก็ได้เพียงแต่ต่อบอลไม่กี่จังหวะแล้วเสีย เพราะรูปแบบการเข้าทำไม่ชัดเจน ส่วนทางฝั่ง ทีมชาติไทย ในช่วง 10 นาทีแรก พยายามจะถ่ายบอลและเจาะเข้าไป แต่ก็ได้แค่บริเวณริมเส้น กระนั้นประตูนำ 0-1 ก็มาอย่างรวดเร็ว จากการโต้กลับ ซึ่งจังหวะจ่ายบอล ธนวัฒน์ เหมือนจะเสียแล้ว แต่แนวรับดันลื่นจนบอลเลยไปถึง ชนาธิป ได้ปั้มบอลกับผู้รักษาประตู แล้วบอลเป็นใจไหลเข้าประตู ไม่เพียงเท่านั้น ประตู 0-2 นับเป็นการต่อบอลและเข้าทำที่เข้าขั้นเวิรด์คลาส เพราะมันเป็นการให้และเคลื่อนที่แล้วจบลงด้วย ชนาธิป ซัดปิดบัญชี  

      การโดนยิง 0-2 ตั้งแต่ 25 นาทีแรก ทำให้เวียดนามต้องเปิดเกมบุก แต่การเจาะพื้นที่แดนสุดท้ายไม่สามารถทำได้เลย เพราะการเข้าทำไม่หลากหลายและแยบยลพอ ทำให้การยิงไกลต้องงัดออกมาใช้ อีกทั้งการเร่งโหมในช่วงท้าย ก็มีหลายครั้งที่เสียบอลไป แต่ไทยดันไปเร่งจ่ายเหมือนกัน ทำให้ต้องตั้งรับจนจบครึ่งแรก

ครึ่งหลัง เวียดนาม เปลี่ยนตัวรุกลงมาเพิ่มและโหมบุก ซึ่งการโยนหรือแทงแบบโต้งๆ มักถูกสกัด แต่การจ่ายที่แม่นยำของ กวง ไฮ่ ก็ทำให้เพื่อนได้หลุดข้าไปยิง แต่ไม่เฉียบคมเอง กระทั่งช่วงท้าย การรีบเร่งทำให้พวกเขาเสียบอลและบุกได้ไม่ต่อเนื่อง ส่วนทางฝั่ง ไทย มีการเปลี่ยนตัวเพื่อรองรับการปะทะหนักและเติมความสด ซึ่งมันดีในแง่ของเกมรับ แต่เกมรุกได้แต่สาดยาวและไม่ค่อยมีความแม่นยำ พลางจะต่อบอลขึ้นมาก็ทำได้ แต่สุดท้ายก็ต้องเจอการปะทะที่หนักหน่วง  

      ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม ทีมชาติเวียดนาม เลือกที่จะมาแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ดันเสียประตูไปก่อน ทำให้สถานการณ์ที่เตรียมมาต้องเปลี่ยนและไม่ได้เล่นในเกมที่ตัวเองถนัด ส่วนทางฝั่ง ทีมชาติไทย ประตูแรกถือว่าจังหวะเป็นใจ แล้วมาได้เพิ่มจากจังหวะฝีมือ กระนั้นมันน่าเสียดายเล็กๆที่มีโอกาสยิงทิ้งห่าง 0-3 แต่ดันพลาดไป ขณะที่เกมรับ ทำได้ดียอดเยี่ยม โดยถ้าเกมนัดหน้ามีการปรับปรุงเกมโต้กลับให้แหลมคมกว่านี้ เชื่อว่าช้างศึกจะเช็คบิลคู่แข่งได้ไม่ได้ยาก   

ติดตามข่าว Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

ตัดเกรดผู้เล่นทีมชาติไทย

ในเกมเปิดซิงค์พ่าย เวียดนาม 0-2 นัดแรก

ศึกฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 รอบรองชนะเลิศ นัดแรก คู่ที่ 2 ดาร์บี้แมตช์แห่งภูมิภาคอาเซียนหนนี้ จบลงด้วยชัยชนะของทีมชาติไทย 2-0 ซึ่งชัยชนะในยกแรกนี้ ถือว่าเป็นเป็นการสร้างความได้เปรียบก่อนจะลงฟาดแข้งอีกยกในวันอาทิตย์ โดยชัยชนะอันสวยงามนี้ เหล่านักเตะของทัพช้างศึกจะได้คะแนนเท่าไรกันบ้าง ด้านล่างนี้มีคำตอบรอทุกท่านอยู่แล้ว

ฉัตรชัย บุตรพรม (6 คะแนน)  

      จังหวะทั่วไปทำหน้าหน้าที่ได้ดี แต่มันมีจังหวะที่อยู่ๆก็ออกมาและไม่ถึงบอล ซึ่งมันไม่ควรจะออกมาเพราะกองหลังยังยืนประคองอยู่ ฉะนั้นต้องจำใจหักคะแนนให้ยับกับความมั่นใจที่มากเกินเหตุ

นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม (7 คะแนน)

       กดเกมริมเส้นของคู่แข่งได้อยู่หมัด ส่วนเกมรุกไม่ได้มีการเปิดสวยๆให้เห็น ซึ่งมันก็น่าจะเป็นแท็กติกของโค้ช ที่ไม่ต้องการเสียบอลง่ายๆ

มานูเอล ทอม เบียร์ห (7 คะแนน)

      ยืนป้องกันได้ดีและไม่มีจังหวะผิดพลาดแบบชัดแจ้ง แต่มันก็ดูเสียวๆบ้าง

กฤษดา กาแมน (8 คะแนน)

      โดนโจมตีอย่างหนักหน่วง แต่เจ้าตัวสามารถสกัดไว้ได้แบบเรียบวุฒิ

ธีราทร บุญมาทัน (8 คะแนน)

      กดปีกฝั่งตรงข้ามแบบไม่ได้เกิด ส่วนการเติมเกมก็คล้ายๆกับฝั่งขวา คือ ไม่มีการเปิดบอลสวยๆให้เห็นนัก

พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล (8 คะแนน)

      งานค่อนข้างหนัก แต่ก็สามารถหยุดเกมรุกของคู่แข่งได้เยอะมาก ทำให้วันนี้โดดเด่นและคะแนนเยอะ

สารัช อยู่เย็น (8 คะแนน)

      คลาสบอลของเจ้าตัวยอดเยี่ยมสุดๆ เพราะสามาถหลบหลีกการเพรสซิ่งได้ดี กระทั่งเกมแดนกลางไหลลื่น

ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร (6 คะแนน)

      จังหวะจ่ายเกือบเสีย แต่คู่แข่งดันลื่นและกลายเป็นคนจ่ายให้เพื่อนได้ยิงประตู ส่วนที่เหลือดูเงียบๆ เพราะหลังจากนั้นทีมต้องเน้นตั้งรับ ทำให้ถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงต้นครึ่งหลัง

ชนาธิป สรงกระสินธ์ (8 คะแนน)

      วิ่งเยอะ เชื่อมมาก และหลอกล่อคู่แข่งได้ดี อีกทั้งยังยิงได้ถึง 2 ประตู แต่มันน่าเสียดายที่ยิงจุดโทษไม่ดีเท่าไร ทำให้อดแฮตทริกและจำต้องหักคะแนนเล็กน้อย

ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ (6 คะแนน)

      ลงมาแพ็คเกมแดนกลางเพื่อปะทะกับความหนักหน่วงของคู่แข่ง ซึ่งก็ทำหน้าที่ได้ดี

ศุภชัย ใจเด็ด (6 คะแนน)  

      ลงมาในช่วงกลางครึ่งหลังและเน้นรอบอลในแดนบน แต่ไม่ค่อยมีทักษะในการเลี้ยวหลบคู่แข่ง

วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ (6 คะแนน)

ถูกส่งลงมาเติมความสดในแดนกลาง แต่พอเจอบอลหนัก เจ้าตัวก็ฉายแววไม่ค่อยออก

วีระเทพ ป้อมพันธุ์ (6 คะแนน)

      ลงมาแล้วได้แต่ช่วยเกมรับ ซึ่งแม้จะไม่งานถนัด แต่เจ้าตัวก็ช่วยได้ดี

ทริสตอง โด (6 คะแนน)

      ลงมาในช่วงท้ายเกม ซึ่งมันไม่ควรมีคะแนนให้ แต่การเปิดบอลล้นและเกินให้เห็น มันก็จำเป็นต้องให้คะแนนเพื่อสะท้อนฟอร์มที่ยังมีจุดด้อย

ติดตามข่าว Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“ฝีเท้าเวิร์คคลาส ทัศนคติเวิร์คแก๊ส”

ถึงแบ็คซ้ายทีมชาติไทยคนหนึ่ง

ถึงตอนนี้ ทีมชาติไทย ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ AFF SUZUKI CUP 2020 เป็นที่แน่นอนแล้ว แต่มันก็มีประเด็นดราม่าจากอดีตโค้ชของเอโคโน่ ที่มีเนื้อหาบางส่วนวิจารณ์ถึงผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คซ้าย ซึ่งเมื่อมองอย่างรอบด้านแล้ว มันก็สะท้อนสติปัญญาของเจ้าตัวได้อย่างชัดเจนว่า ฝีเท้าเข้าขั้นเวิร์คคลาส แต่ทันศคติยังคงเป็นเพียงแค่เวิร์คแก๊สเท่านั้น

หากย้อนกลับไปในวันที่เจ้าตัวยังเป็นดาวรุ่ง ก็ได้ริเริ่มสร้างประวัติด้วยการโดนใบแดง 2 ในช่วงเวลา 1 อาทิตย์ กับการรับใช้ทีมชาติไทยชุดใหญ่และชุดซีเกมส์ จากนั้นเหมือนจะเข้าสู่ลู่ทางที่ดี แต่สุดท้ายก็มาแตกหักกับเจ้าของทีมดังแห่งแดนอีสานใต้ โดยต้นเรื่องนั้นมาจากการที่ภรรยาของท่าประธานสโมสร ตำหนิตัวนักเตะในเพจของสโมสร ซึ่งตรงจุดนี้ คือ สิ่งที่แบ็คซ้ายรายนี้รับไม่ได้

การย้ายมาอยู่ทีมดังย่านนนทบุรี ก็เสมือนกับการให้ชีวิตใหม่แก่ตัวนักเตะ แต่เมื่อไรที่เจอทีมเก่าแล้วชนะหรือยิงประตูได้ เจ้าตัวก็มักจะดีใจแบบเต็มดอก จนเคยมีวลีติดหูว่า “บอกได้คำเดียวครับว่าสะใจ” แต่สุดท้ายเมื่อเจ้าตัวรับใช้ชาติในศึกคิงคัพ แล้วต้องไปเล่นที่สนามเหย้าของทีมดังแห่งอีสานใต้ สุดท้ายเจ้าตัวก็โผกอดกับทั้งประธานและภรรยา

การไปค้าแข้งอยู่ต่างประเทศ ดูเหมือนจะทำให้เจ้าตัวเปลี่ยนไปในทางที่ดี แต่สำหรับการเล่นสื่อโซเชียล ก็มีให้เห็นถึงสภาวะขาดสติ อาทิ การตอบเมนต์แฟนบอลเวียดนามให้กลับไปทานเนื้อสุนัข ซึ่งการพิมพ์ประโยคดังกล่าวมันสามารถสื่อถึงการเหยียดเชื้อชาติได้เหมือนกัน แต่กระนั้นยังดีที่ไม่มีดราม่าข้ามประเทศ ส่วนในกรณีล่าสุดกับอดีตโค้ชของบริษัทที่เคยมาทำงานร่วมกับสมาคมฟุตบอล ซึ่งโค้ชรายนี้ได้มีการวิเคราะห์วิจารณ์แล้วมีส่วนหนึ่งพูดถึงตัวนักเตะในตำแหน่งแบ็คซ้ายรายนี้ ทำให้เจ้าตัวแชร์และพิมพ์แคปชั่นในเชิงดูถูกถึงบริษัทต้นสังกัด ซี่งในเวลาต่อมาได้มีการชี้แจงว่าบริษัทกับโค้ชรายนี้ ไม่ได้มีการทำงานร่วมกันมานานแล้ว

สุดท้ายหากให้สรุป นักเตะในตำแหน่งแบ็คซ้ายรายนี้ เก่งและไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ถึงฝีเท้าของเขาอีกแล้ว แต่จากวีรกรรมทั้งหมดนี้ มันก็สื่อให้เห็นถึงทัศนคติที่ไม่ค่อยผ่านการไตร่ตรอง โดยเฉพาะการเผชิญกับกระแสในด้านลบ โดยถ้าหากยังไม่มีวุฒิภาวะในการจัดระเบียบตัวเองที่ดีพอ มันก็อาจส่งผลให้ภาพของการเป็นนักเตะระดับตำนานไม่เด่นชัด เพราะแม้ว่าฝีเท้าจะดี แต่ทัศนคติดันย่ำแย่เวลาเจอเรื่องในเชิงลบ   

ติดตามข่าว Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

ตัดเกรดผู้เล่นทีมชาติไทย

ชุดสำรอง โชว์ฟอร์มแจ่ม อัด สิงคโปร์ คาบ้าน 2-0

ศึกฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 รอบแบ่งกลุ่มของทีมชาติไทย จบลงแบบสวยงาม พร้อมกับการเข้ารอบรองชนะเลิศในฐานะแชมป์กลุ่ม ซึ่งการตบ สิงคโปร์ ด้วยตัวผู้เล่นชุดสำรอง 2-0 ใครโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นบ้าง วันนี้เราจะไปให้คะแนน

ศิวรักษ์ (7 คะแนน)

ความนิ่งและวามเก๋ายังเหลือๆ เริ่มจากช่วง 15 นาทีแรก ได้โชว์เซฟ ส่วนในครึ่งหลังมีจังหวะออกมาปิดมุมเซฟอีกหน

เอเลียต (8 คะแนน)

ผลงานเก่าๆ อาจเป็นภาพหลอกหลอนแฟนบอล แต่แมตช์นี้เจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้อย่างเด็ดดวง อีกทั้งยังเติมขึ้นมายิงประตูแบบนิ่งๆ

ปวีร์ (8 คะแนน)

แนวรับที่ถูกเรียกเข้ามาเป็นอะไหล่สำรอง แต่พอได้ลงเล่นตัวจริงนัดแรก ดันโชว์ฟอร์มได้อย่างไฉไล แม้จะมีตื่นๆบ้างในช่วงต้นเกมกับท้ายครึ่งหลัง

ทริสตอง โด (5 คะแนน)

ออกสตาร์ทครึ่งแรกในตำแหน่งแบ็คขวา แล้วขยับมายืนแบ็คซ้ายในครึ่งหลัง แต่การเปิดบอลวันนี้ล้นตลอด ซึ่งมันทำให้ทีมเสียโอกาสไป

สุริยา (7 คะแนน)

ได้ลงสนามเป็นนัดแรก แล้วทำผลงานได้ดี ซึ่งสำหรับทีมแล้ว มันนับเป็นเรื่องที่ดีกับการมีอะไหล่ที่มีคุณภาพ

วีระเทพ (7 คะแนน)

ครึ่งแรกอาจจะไม่โดดเด่นมาก แต่ครึ่งหลังจัดว่าท็อปฟอร์มสุดๆ กับการจับและจ่ายให้กับเพื่อนอย่างทั่วถึง กระนั้นมันน่าเสียดายที่การจ่ายของเจ้าตัว ไม่นำพาไปสู่ประตูที่ 3

ฐิติพันธ์ (6 คะแนน)

ลงสนามเพื่อประคองน้องๆ ซึ่งก็ทำหน้าที่ได้ดีและไม่มีความผิดพลาดอะไร

วรชิต (7 คะแนน)

มีจังหวะจ่ายให้ ศุภชัย แบบเฉียบขาด รวมถึงมีการเชื่อมบอลที่ดี แต่การเคลื่อนที่เพื่อรอและเชื่อมบอล ยังเป็นสิ่งที่เจ้าตัวต้องปรับปรุง

บดินทร์ (7 คะแนน)

ไม่ค่อยโดดเด่น เว้นเสียแต่จังหวะที่ปั่นฟรีคลิกและเป็นที่มาของประตูนำ 1-0

ปฐมพล (6 คะแนน)

ลงประจำการในตำแหน่งหน้าฝั่งขวา แต่ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไร

ศุภชัย (8 คะแนน)

บอลมาไม่ค่อยถึงตัว แต่พอมีโอกาสก็สามารถจบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม ด้วยการยิงไปทางเสาแรกบริเวณข้างขาของผู้รักษาประตู

ปกเกล้า (6 คะแนน)

ลงสนามในช่วงครึ่งหลัง แต่ไม่โดดเด่นนัก เพราะการจ่ายเป็นในลักษณะขวางไปมา

 โรเลอร์ (6 คะแนน)

      ได้วิ่งเติมเกมแบบรัวๆ แต่สุดท้ายมาตายตอนจบทุกที

 อดิศักดิ์ (6 คะแนน)

      ดูยังโชว์ฟอร์มไม่ค่อยออกและยังไม่เหมือนเดิมกับปีที่ผ่านมา

พิชา (5 คะแนน)

      ลงมาในช่วงครึ่งหลัง แต่ดูไม่โดดเด่นและหายไปจากเกม   

ศิวกร (5 คะแนน)

      เป็นอีกราย ที่ลงมาแล้วเงียบและไม่โดดเด่น จนเสมือนว่าแค่ลงมาให้ตัวครบ 11 คน  

ติดตามข่าว Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

ตัดเกรดผู้เล่นทีมชาติไทย

ในเกมเฉือนฟิลิปินส์ เข้ารอบรอง ด้วยสกอร์ 2-1

เสร็จสิ้นไปแล้ว 1 ขั้น สำหรับทีมชาติไทย ในการล่าแชมป์ AFF SUZUKI CUP 2020 โดยในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดที่ 3 สามารถเฉือน ฟิลิปินส์ ได้ไป 1-2 ซึ่งนั่นส่งผลให้ทัพช้างศึกตีตั๋วเข้ารอบรองชนะเลิศได้เป็นที่แน่นอนแล้ว ฉะนั้นในส่วนนี้เราจะมาประเมินและให้คะแนนแก่นักเตะรายบุคคล ว่าใครสมควรได้รับไปคนละเท่าไร

ฉัตรชัย (6 คะแนน)

      ไม่เล่นท่ายาก ก็ไม่มีความผิดพลาด ส่วนจังหวะเสียประตูระยะมันจ่อแบบเข้าใจได้  

ทอม เบียร์ห (5 คะแนน)

      กลายเป็นจุดอ่อนของแนวรับไปเสียอย่างนั้น เพราะการโหม่งวันนี้ถวายพานเป็นประตูตีเสมอให้คู่แข่ง อีกทั้งยังมีอีก 1-2 ที่เกือบจะแถมให้เพิ่ม ซึ่งหลังเกมคงต้องไปปรับกันยกใหญ่ มิเช่นนั้นลำบากแน่

กฤษดา (7 คะแนน)  

      การอ่านเกมที่เฉียบขาด ส่งผลให้การยืนตำแหน่งสกัดบอลทำได้ดีแบบสม่ำเสมอ

นฤบดินทร์ (6 คะแนน)

      ไม่ทราบว่าเป็นคำสั่งของโค้ชหรือไม่ เพราะวันนี้ไม่ค่อยเติมสูง ทำให้ไม่ค่อยเห็นลูกเปิดสวยๆเหมือน 2 นัดที่ผ่านมา 

ธีราทร (7 คะแนน)

      มี 1 แอสซิสต์ในเกมนี้ ซึ่งเป็นการจ่ายที่เฉียบขาดอย่างยิ่ง เพราะมันมีแค่ช่องเล็กๆตรงนั้นช่องเดียวที่จะจ่ายได้ ส่วนครึ่งหลังบทบาทอาจดูน้อยลงไป ทำให้ต้องมีการหักคะแนน  

พิธิวัต (6 คะแนน)

      บทบาทอาจจะไม่โดดเด่น แต่การตัดเกมโต้กลับของคู่แข่งทำได้ดี

สารัช (6 คะแนน)

      ครึ่งแรกดูจะสอดประสานการเชื่อมเกมได้ดี แต่หลังจากถูกตีเสมอ ก็เหมือนจะตื้อๆไป

ชนาธิป (6 คะแนน)

      ฟอร์มดรอปจากเกมที่แล้วค่อนข้างชัด ซึ่งในวันนี้ทำอะไรก็ดูจะไม่พอดี ทำให้สุดท้ายถูกเปลี่ยนตัวออกไป

ธนวัฒน์ (6 คะแนน)

      เป็นอีกรายที่ดูฟอร์มดรอปลงไป ซึ่งมันดรอปถึงขั้นไม่มีลูกยิงไกลที่เคยทำบ่อยๆให้เห็น

ธีรศิลป์ (8 คะแนน)

      ลูกขึ้นนำ 0-1 ถือเป็นการยิงที่สุดยอด เพราะมันได้ทั้งนำหนักและทิศทาง ส่วนลูกโทษขึ้นนำ 1-2 ยิงไม่มุม แต่ได้ความแรง กระนั้นก็ยังมีบางจังหวะที่ได้ยิงจ่อๆ แต่ดันพลาด ทำให้ต้องหักคะแนนออกนิดหน่อย

ศุภโชค (6 คะแนน)  

      ถูกส่งลงมายืนหน้าคู่ แล้วหลายครั้งเจ้าตัวไม่เล่นมากจังหวะ แต่การยิงดูจะเบาและไม่ค่อยได้ทิศทาง  

ฐิติพันธ์ (7 คะแนน)

      ถูกส่งมาไม่นาน แต่มีส่วนสำคัญกับชัยชนะจนต้องให้คะแนน เพราะในจังหวะนั้นกำลังชุลมุน แล้วเจ้าตัวตัดสินใจที่จะแตะบอลหนี ทำให้คู่แข่งเตะจนได้จุดโทษ ซึ่งนี่นับเป็นการเล่นที่ฉลาดอย่างยิ่ง

วรชิต, บดินทร์, ศุภชัย และ เอเลียส (ไม่มีคะแนน)

      3 รายแรก ถูกส่งลงมาในช่วงคาบเกี่ยวที่ได้ประตูนำ 1-2 ทำให้ไม่ค่อยมีบทบาท ส่วนรายหลังลงมาเพื่ออุดประตู แต่ก็โดนบอลแบบนับครั้งได้ ทำให้ทั้ง 4 รายนี้ ไม่มีคะแนน

ติดตามข่าว Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“อเดคนดวงแข็ง”

สุพรรณบุรี ทำช็อก บุกไปเชือด สมุทรปราการ ถึงถิ่น 1-2 หยุดสถิติแพ้ 7 นัดรวด

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 14 ในส่วนของโปรแกรมวันเสาร์ ณ สนาม กกท. บางพลี สมุทรปราการ ซิตี้ ที่ฟอร์มรูดลงต่อเนื่อง จะต้องพบกับทีมที่ฟอร์มย่ำแย่ยิ่งกว่าอย่าง สุพรรณบุรี เอฟซี ซึ่งแพ้รวดถึง 7 นัดติด สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม เจ้าบ้านใช้ 4-4-2 ส่วนทีมเยือนปรับมาเป็น 4-3-3

      การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น สมุทรปราการ ต่อบอลและเคลื่อนที่ตามสไตล์ อีกทั้งยังได้เห็นการตัดเข้าในของปีกทั้ง 2 ข้าง แต่ยังไม่มีจังหวะจบที่อันตราย กระนั้นระหว่างที่กำลังทำเกมอยู่ แดนกลางและหลังดันยืนตำแหน่งผิด ทำให้บอลแทงทะลุของ สุพรรณบุรี กลายเป็นประตูนำ 0-1 เสียอย่างนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่มีจังหวะบุก หรือต่อให้ครองบอลได้ ก็จะทำได้เพียงเลี้ยงวนเพื่อหลีกหนีการเพรสซิ่ง          

      หลังจากโดนยิงนำไปก่อน สมุทรปราการ พยายามจะเดินหน้าบุกต่อ แต่มันก็เป็นงานที่ยากขึ้น เพราะแนวรับทีมเยือนถอยไปรับแบบเต็มพิกัด ทำให้การใช้ลูกโยนต้องถูกงัดออกมา กระนั้นมันไม่มีทีเด็ดและไม่มีจังหวะอันตราย ตรงกันข้าม สุพรรณบุรี นานๆทีจะได้บอลขึ้นมาบุก ซึ่งการเคาะบอลในแดน 3 แล้วยิงไกลติดไซล์ก้อย ก็ได้กลายเป็นประตูทิ้งห่าง 0-2

ครึ่งหลังเริ่มต้นไปได้ไม่กี่นาที เนโต้ แจกโชคด้วยการจ่ายไปเข้าทาง ซากาอิ ให้ยิงสวนข้ามหัวเข้าประตูเป็น 1-2 ซึ่งในสถานการณ์ตรงนั้น สมุทรปราการ ได้โชคเล็กๆตรงที่ช่องว่างเหลือแค่ลูกเดียว แต่พวกเขาดันกดทีมเยือนไม่อยู่ อีกทั้ง สุพรรณบุรี ยังได้โต้กลับแบบมีความมั่นใจและไม่ตั้งรับแบบเต็มพิกัดเหมือนที่ผ่านมา โดยกว่าที่ลูกทีมของอิชิอิ จะขึงบุกได้ เวลาก็ใกล้จะหมดแล้ว นั่นจึงทำให้เวลาไม่พอที่ยิงตีเสมอ แล้วสุดท้ายต้องพ่ายแพ้ไป  

      ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม สมุทรปราการ ซิตี้ เกมรุกยังมีปัญหาในเรื่องของไอเดียการเข้าทำที่ค่อนข้างจำกัด แล้วในขณะเดียวกัน แนวรับดันเสียประตูง่าย อีกทั้งยังมาโดนลูกยิงแบบสุดปัญญาอีก นั่นจึงทำให้สถานการณ์หลังจากนั้นค่อนข้างอึดอัด ซึ่งกว่าจะรวบรวมสติและขึงบุกได้ เวลามันก็ไม่เพียงพอ ส่วนทางฝั่ง สุพรรณบุรี เอฟซี เกมรับเหมือนจะแน่นหนา แต่มันก็มีความผิดพลาดส่วนบุคคลจนเสียประตู อีกทั้งช่วงท้ายเกมก็มีอาการแกว่งให้เห็น กระนั้นยังดีที่เกมรุกฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของคู่แข่ง แล้วมายิงประตูที่ 2 จากระยะไกลได้อีก ฉะนั้น 3 แต้มในวันนี้ ปัจจัยหลักมาจากจังหวะของฟุตบอลที่เข้าข้าง ขณะที่ฝีมือเป็นปัจจัยรอง

ติดตามข่าว Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“นอกบ้านไว้ใจกว่าง”

เชียงราย นอกบ้านไว้ใจได้ บุกเฉือน เชียงใหม่ ในล้านนาดาร์บี้แมตช์ 0-1

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 14 ของฤดูกาล ในโปรแกรมวันอาทิตย์ ณ สนามสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ที่ตอนนี้กำลังรั้งบ๊วยและต้องการแต้ม จะทำดาร์บี้แมตช์ล้านนา กับ ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่ผลงานเกมเยือนดันดีกว่าในบ้าน สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม เจ้าบ้านใช้ 4-3-3 ส่วนทางฝั่งทีมเยือนยังเป็น 3-4-3

      การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น เชียงราย ครองบอลได้เหนือกว่าชัดเจน แต่มันก็ตามที่คาด คือ ได้แต่ถ่ายบอลไปมาและไม่มีการแทงบอลจากแนวลึก ทำให้เข้าแดนสุดท้ายไม่ได้และไม่มีจังหวะจบสกอร์ ส่วนทางฝั่ง เชียงใหม่ รู้ว่าเป็นรองจึงตั้งรับเพื่อซื้อเวลา เพื่อหวังอย่างน้อย 1 แต้ม ซึ่งมันดูเหมือนจะดี แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าแนวรุกฝ่ายตรงข้ามไม่มีประสิทธิภาพเองมากกว่า         การขึงเกมบุกของ เชียงราย มีเวลาและโอกาสค่อนข้างเยอะ เพราะแนวรับคู่แข่งไม่ได้บีบกดดันอะไร ทำให้การต่อบอลไหลลื่นขึ้น กระทั่งมีจังหวะจบสกอร์ แต่การยิงเกือบทุกครั้งมันไม่อยู่ในระยะที่อันตรายพอ อีกทั้งการวางเท้ายิงก็ไม่ดี กระนั้นก่อนจบครึ่งแรก กว่างโซ้งมหาภัยมาได้ประตูขึ้นนำ 0-1 จากการโขกลูกเตะมุม ซึ่งมันเป็นการโหม่งที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะมันเป็นการย้อนตัวมาโหม่งเสาแรก แล้วได้ทั้งทิศทางและน้ำหนักจนเสียบสามเหลี่ยมมุมบน

การเสียประตูของ เชียงใหม่ ทำให้ครึ่งหลังต้องพยายามทำเกมบุกเพื่อตีเสมอ ซึ่งพวกเขาพยายามเล่นให้น้อยจังหวะ แล้วแทงหรือโยนไปให้ โบลี่ กับ เดอลูว์ ที่อยู่แดนหน้าอย่างเร็วที่สุด กระนั้นด้วยศักยภาพการต่อบอลที่ด้อยกว่า มันก็มีผลให้พวกเขาต้องเสียบอลกลางทางให้กับทีมเยือนแบบถี่ๆ กระทั่งเวลาผ่านไป เชียงราย กลายเป็นฝ่ายที่มีโอกาสได้ประตูมากกว่า อีกทั้งยังมีพื้นที่และโอกาสจบสกอร์แบบเหน่งๆกว่าครึ่งแรก แต่ดันยิงทิ้งยิงขวางกันไปเอง ทำให้สกอร์ค้างอยู่ที่ 0-1 จนจบเกม  

      ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม เชียงใหม่ ยูไนเต็ด เลือกวางหมากแรกด้วยการเล่นเกมรับ ซึ่งผลลัพธ์ในครึ่งแรกเหมือนจะดี แต่ก็ถูกเจาะอยู่เนื่องๆจนเสียประตู จากนั้นพอเข้าสู่ครึ่งหลัง สถานการณ์บังคับว่าต้องยิงประตู แต่สุดท้ายด้วยศักยภาพทุกอย่างที่เป็นรอง มันจึงมีผลให้ช้างเผือกไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่าการไม่เสียประตูเพิ่มและไม่พ่ายแพ้แบบเละเทะไปมากกว่านี้ ส่วนทางฝั่ง ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด เกมรุกยังคงเป็นปัญหา ยามต้องขึงบุกใส่ทีมที่มาตั้งรับ ซึ่งการเจอกับทีมที่แนวรับหละหลวมแล้วยังทำอะไรไม่ได้แบบนี้ มันก็สื่อให้เห็นชัดเจนแล้วว่าพวกเขาต้องปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง มิเช่นนั้นเลกที่ 2 จะเหนื่อยหนัก

ติดตามข่าว Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“ดีคนละครึ่ง”

สิงคโปร์ รูปเกมเป็นรอง ไล่เจ๊า อินโดนีเซีย 1-1 ในรอบรอง นัดแรก

ศึกฟุตบอล AFF SUZUKI CUP 2020 รอบรองชนะเลิศ คู่แรกและนัดแรก ที่สนามเนชั่นเนล สเตเดี้ยม ออฟสิงคโปร์ ทีมชาติสิงคโปร์ ที่เข้ารอบมาในฐานะอันดับ 2 ของกลุ่ม A จะต้องพบกับ ทีมชาติอินโดนีเซีย ที่เบียดเข้าป้ายมาในฐานะแชมป์กลุ่ม B ด้วยจำนวนประตูได้เสีย สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม เมอร์ไลออนของโยชิดะ ใช้ 3-5-2 ส่วนทางฝั่งเดอะการูด้าของ ชิน แต ยัง เป็น 3-4-3

      การแข่งขันในช่วง 5 นาทีแรก ทั้ง 2 ทีม แลกหมัดกันทันที ซึ่งหากฝ่ายไหนรุกก็จะวัดด้วยการสาดบอลไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด ส่วนฝ่ายไหนต้องตั้งรับ ก็จะสกัดแบบทีเดียวเอาอยู่ จากนั้นพอเข้าสู่นาทีที่ 6 เป็นต้นไป รูปเกมเริ่มจะเป็นระบบมากขึ้น โดยทางฝั่ง ทีมชาติอินโดนีเซีย จะดูดีกว่า เพราะสามารถต่อบอลจากหลังสู่แดนกลาง แล้วพยายามสบโอกาสเพื่อออกบอลไปให้ปีกได้จู่โจม กระทั่งมาได้ประตูนำ 0-1 จากการตัดบอลได้ในแดนตัวเอง แล้วจัดการทำชิ่งกันแค่ 2 คน ก่อนจบด้วยการยิงบริเวณจุดวางลูกโทษ ซึ่งในจังหวะนี้ แนวรับฝ่ายตรงข้ามไปชะงักตอนทำชิ่ง จนเกิดการยืนป้องกันที่ผิดตำแหน่ง ขณะที่ ทีมชาติสิงคโปร์ รูปเกมดูเป็นรองเพราะวิ่งขยับหาช่องน้อยกว่า จ่ายบอลแม่นน้อยกว่า และที่สำคัญ คือ จังหวะเข้าทำที่เป็นการโยนหรือแทงแบบโต้งๆ ซึ่งมันทำให้เป็นงานง่ายของแนวรับในการสกัด    

ครึ่งหลัง สิงคโปร์ เลือกที่จะแลกด้วยการส่งแนวรุกลงมาเพิ่ม แต่ปัญหาเดิมๆอย่างที่กล่าวว่า การวิ่งน้อยกว่า การจ่ายบอลแม่นยำน้อยกว่า และการเข้าทำที่ไม่มีความแยบยลพอ มันก็เป็นผลให้ อินโดนีเซีย ดักบอลและเอาบอลไปครองได้อยู่เรื่อยๆ กระนั้นการต่อบอลมาถึงแดน 3 ของพวกเขา มันก็หมดความอันตรายลงไป เพราะมันได้แต่แทง จนบอลออกหลัง หรือโยนข้ามฟาก จนบอลออกข้างและโดนดัก กระทั่งการโดนดักจากบอลโยนข้ามฟาก ก็ได้กลายเป็นเกมโต้กลับของ สิงคโปร์ และประตตีเสมอ 1-1 ซึ่งการยิงของ อิรซาน ทำได้ดี แต่แนวรับของ อินโดนีเซีย ก็มีการยืนตำแหน่งที่ผิดพลาด

      หลังจากได้ประตูตีเสมอ รูปเกมของ สิงคโปร์ วูบวาบขึ้นมาทันที และเกือบขึ้นนำ แต่พอผ่านไปสัก 5-10 นาที รูปเกมก็ดีดกลับมาทาง อินโดนีเซีย กระนั้นแนวรับของเมอร์ไลออนที่ถอยลึกและไม่พลาดง่ายๆอีก มันก็มีผลให้เกมนี้จบลงด้วยสกอร์ 1-1

      ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม ทีมชาติสิงคโปร์ ศักยภาพและรายละเอียดต่างๆของเกม เป็นรองคู่แข่ง กระนั้นยังดีที่ว่าการแก้ของโค้ช ผสมกับความสามารถของนักเตะ ยังมีแต้มบุญให้พวกเขาตีเจ๊าในเกมนี้ได้ ส่วนทางฝั่ง ทีมชาติอินโดนีเซีย รูปเกมเหนือกว่า แม้การเข้าทำจะไม่หลากหลาย แต่ครึ่งหลังไปเล่นแบบเนือยๆจนโดนตีเสมอ กระนั้นการจะเอาคืน มันก็กลายเป็นงานยาก เพราะคู่แข่งไม่พลาดเปิดช่องให้แล้ว

ติดตามข่าว Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“ยิงน้อยไปนิด”

ไทย เหนือกว่าทุกเหลี่ยม แต่สุดท้ายเฉือน ติมอร์ แค่ 0-2

ศึกฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน หรือ AFF SUZUKI CUP 2020 นัดประเดิมสนามที่ เนชั่นเนลสเตเดี้ยมออฟสิงคโปร์ ทีมชาติติมอร์ เลสเต้ ที่ได้บายในรอบเพลย์ออฟ จะต้องพบกับเต็งแชมป์ของรายการอย่าง ทีมชาติไทย ที่ยังอยู่ในสภาพไม่ฟูลทีม อีกทั้งนี่ยังเป็นการประเดิมคุมทีมนัดแรกของ มาโน่ โพลกิ้ง อีกด้วย สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม แซมบ้าน้อยมาในระบบ 3-4-3 ส่วนทัพช้างศึกใช้ 4-3-3

      การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ไทย ครองเกมได้เหนือกว่าทันที แต่ปัญหาที่เห็นได้ชัดเจน คือ การเล่นบอลในพื้นที่แดน 3 ซึ่งตัวไม่มีบอลเคลื่อนที่น้อย ส่วนคนมีบอลก็ไม่ค่อยมีตัวเลือกในการจ่าย นั่นจึงทำให้การต่อบอลที่รวดเร็วเพื่อทะลุทะลวงไม่มี สุดท้ายจึงต้องพึ่งการเปิดจากแบ็คทั้งสองข้าง โดยมาตรฐานที่ต่างกันจึงทำให้ทัพช้างศึกมีโอกาสอยู่เนืองๆ แต่เพราะความเฉียบคมและการเล่นมากจังหวะ มันก็ส่งผลให้ทีมยิงประตูนำไม่ได้ ขณะที่ ติมอร์ พยายามตั้งรับให้แน่นหนาแต่ก็โดนเจาะถึงไส้ตลอด กระนั้นยังโชคดีที่คู่แข่งไม่คมเอง ส่วนเกมรุก แค่ต่อบอลให้พ้นจากแดนตัวเองยังลำบาก หรือต่อให้ไปได้ก็แค่ลากบอลและโดนรุมจนเสีย   

ครึ่งหลัง ไทย เปลี่ยนเอากลางรุกลงมาเพิ่ม แล้วใช้เวลาไม่นานก็ได้ประตูนำ 0-1 ซึ่งในจังหวะนี้มาจากการฉกบอลกลางทาง แล้วเป็น นฤบดินทร์ ที่เปิดให้ ปฐมพล จับบอล ลากหาพื้นที่ และยิงเข้าไป จากนั้นการบุกของ ไทย ดูจะผ่อนคลายมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเมื่อ ติมอร์ ได้บอล พวกเขาก็ใช้วิธีการถ่ายบอลหนีและค่อยขึ้นเกม อีกทั้งการขึ้นมาก็เน้นที่จะจบให้เร็วและยิงเข้ากรอบไว้ก่อน แต่พอศูนย์หน้าตัวหลักอย่าง ซัวเรช เจ็บ เกมบุกก็ไร้พิษสง ทันที จากนั้น ทัพช้างศึก สามารถเดินเกมบุกได้อย่างสะดวกและมาได้ประตูทิ้งห่าง 0-2 จากจังหวะที่เป็นใจของ สุภโชค

      ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม ทีมชาติติมอร์ ศักยภาพเป็นรองชัดเจน โดยแม้ว่าจะมาตั้งแผงเกมรับให้แน่นหนาที่สุด แต่ก็โดนเจาะเข้ามาตลอดเวลา กระนั้นด้วยความไม่เฉียบคมของคู่แข่งเอง ทำให้โดนยิงน้อย รวมถึงมีโอกาสที่จะบุกแลกในช่วงที่สกอร์ยังโดนนำไม่ขาด ขณะที่ ทีมชาติไทย เกมรับยังไม่มีข้อผิดพลาดแบบชัดเจน เพราะยังไม่เจอคู่แข่งที่แข็ง แต่สำหรับเกมรุก นับว่ามีอะไรที่ต้องปรับอีกเยอะ โดยเฉพาะการต่อบอลเข้าไปในแดน 3-4 ที่ยังช้าและไม่สอดรับกัน กระนั้นยังดีที่ความฉมังของบอลริมเส้นช่วยหนุนนำให้ได้ประตู

ติดตามข่าว Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover