Categories
Sport

“เชียงใหม่ อาการยังแย่”

เชียงใหม่ พ่าย การท่าเรือ ตามคาด 0-2

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 6 ลงแข่งขันกันในวันกลางสัปดาห์ โดยในส่วนนี้จะเป็นคู่ส่งท้ายจากเมืองเหนือ ระหว่าง เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ที่พึ่งคว้าชัยชนะนัดแรกของซีซั่นได้สำเร็จ กับ การท่าเรือ เอฟซี ที่ต้องการ 3 แต้ม อย่างยิ่งเพื่อเกาะกลุ่มหัวตาราง สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม เจ้าบ้านมาในระบบ 3-4-3 ส่วนทางฝั่งทีมเยือนใช้ 4-2-1-3

       เกมการแข่งขันเริ่มต้นขึ้นเป็น การท่าเรือ ที่ดูเหนือกว่า เพราะสามารถโจมตีใส่เจ้าบ้านได้อยู่ตลอด แต่ความเฉียบคมไม่มี กระนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแนวรับของ เชียงใหม่ ที่ไม่ดีเอง เพราะการยืนตำแหน่งป้องกันในหลายๆจังหวะเกิดความผิดพลาดและหละหลวม แต่ที่ยังไม่เสียประตูก็เป็นเพราะทีมเยือนจบไม่คมเอง ขณะที่เกมโต้กลับก็มีนานๆครั้ง อีกทั้งมันไม่มีประสิทธิภาพเลย เพราะการต่อบอลเชื่องช้า หรือต่อให้พาไปถึงแดน 3 ก็จะหมดไอเดีย แล้วใช้การวางบอลที่ไม่มีความแม่นยำ หรือยิงไกลที่หลุดออกไปแบบไม่ได้ลุ้น

ครึ่งหลัง เชียงใหม่ แก้เกมออกมาได้ดี เพราะสามารถต่อบอลด้วยสปีดที่เร็วขึ้น แต่จังหวะเข้าทำยังขาดๆเกินๆ ทำให้ไม่มีโอกาสจบสกอร์แบบเหน่งๆ อย่างไรก็ตามแนวรับของเจ้าบ้านที่หละหลวมมาตั้งแต่ครึ่งแรก ก็มาโดนยิงขึ้นนำ 0-1 จนได้ ซึ่งในจังหวะนั้นเป็นการโจมตีทางขวา แล้วเปิดไปเสาไกลให้ โบนีญ่า ที่ยืนโล่งๆอยู่นานสองนานได้โหม่งระยะประชิด จากนั้นลูก 0-2 แนวรับช้างศึกล้านนา ผิดพลาดอีกครั้ง เพราะปล่อยให้ตัวในกรอบเขตโทษได้ยืนอย่างมีอิสระ ทำให้ทันทีที่บอลมาถึง โก ซุน กิ จึงได้ยิงแบบสบายๆ ส่วนในช่วงท้ายเกม ลุกทีมของโค้ชอั๋นยังคงเดินหน้าบุกต่อ แต่ไม่มีน้ำยาทำสกอร์เพิ่ม    

       ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ลงเล่นด้วยฟอร์มที่แตกต่างจากเกมที่ชนะเมื่อนัดล่าสุด โดยเกมรับมีปัญหาและพร้อมจะเสียประตูตลอดเวลา ซึ่งวันนี้ยังดีที่คู่แข่งไม่คม ไม่อย่างนั้นวันนี้โดนมากกว่า 2 เม็ด แน่นอน ขณะที่เกมรุกไร้ซึ่งไอเดียในการเล่น open play ฉะนั้นอาการของช้างศึกล้านนา นับว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ส่วนทางฝั่ง การท่าเรือ เอฟซี ชนะและเก็บ 3 ก็จริง แต่คุณภาพไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเลย โดยเกมรุกจบไม่คม แต่ก็ยังดีที่ยิงได้ 2 ลูก ขณะที่เกมรับวันนี้ไม่เสียประตู แต่มันก็เห็นๆอยู่ว่าคู่แข่งไม่มีอาวุธเด็ดอะไร ฉะนั้นมันไม่มีเหตุใดเลยที่จะปล่อยให้แนวรุกคู่แข่งเข้ามาป่วนหน้าบ้านง่ายๆแบบนี้     

ติดตามบทความ Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

ทำไมทีมชาติไทย ต้อง มาโน่ ?

ถึงตอนนี้ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเฮดโค้ชคนใหม่ของ ทีมชาติไทย คือ มาโน่ โพลกิ้ง

ซึ่งเข้ามาทำงานในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2012-2020  ก่อนจะโยกตัวไปคุมทีมในวีลีกเมื่อปีที่แล้วและพึ่งแยกทางกันเมื่อไม่นานมานี้ เพราะผลงานไม่เป็นไปตามเป้า อีกทั้งลีกก็โดนประกาศยกเลิกไป โดยการที่เจ้าตัวอยู่ในสภาวะว่างงานแล้วมาดามแป้งเองก็ต้องการเฮดโค้ชที่เก่งและคุ้นเคยกับนักเตะไทย นั่นจึงทำให้ดีลการเจรจานี้สำเร็จลุล่วงในระยะเวลาอันรวดเร็ว ฉะนั้นในบทความนี้เรานี้จะมาเหตุผลว่าทำไมทีมชาติไทย ถึงต้องเลือกกุนซือลูกครึ่งเยอรมัน-บราซิล ผู้นี้

มาโน่ โพลกิ้ง เข้าทาทำงานในประเทศไทย จากการเป็นผู้ช่วยของวินฟรีด เชฟเฟอร์ อีกทั้งยังลงไปคุมชุด U-22 แต่สร้างความงามหน้าด้วยการแพ้ทีมชาติลาว จากนั้นเจ้าตัวได้รับงานคุมทีมสโมสร อาร์มี่ ยูไนเต็ด กับ สุพรรณบุรี เอฟซี ที่ละ 1ปี และ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เป็นเวลา 6 ปี  ฉะนั้นนี่จึงเป็นกุนซือต่างชาติที่ทำงานในไทยนานที่สุดคนหนึ่ง

ส่วนทางฝั่งมาดามแป้ง ได้รับมอบหมายให้เข้ามารับงานผู้จัดการทีมชาติไทย ซึ่งโจทย์ใหญ่ คือ การเป็นแชมป์ AFF SUZUKI cup แต่ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่ม ทัพช้างศึกจะมีเวลาเตรียมทีมอย่างเต็มที่ 2 สัปดาห์ นั่นจึงทำให้การเลือกโค้ช ได้เน้นไปที่กุนซือไทยที่มีโปรไลน์เซ่น เพราะจะได้เปรียบในเรื่องความคุ้นเคยกับนักเตะไทยและไม่ต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่

การสอดส่องและลิสต์รายชื่อกุนซือไทยที่จบโปรไลน์เซ่น เพื่อพิจารณาให้เป็นกุนซือทีมชาติไทย หลายรายที่หมายหัวไว้ล้วนติดภารกิจและติดงานกับสโมสร นั่นจึงทำให้ มาดามแป้ง ต้องหันเหไปดูกุนซือต่างชาติ ซึ่งเกือบทั้งหมดไม่เคยทำงานในไทย ขณะที่ มาโน่ กำลังว่างงาน อีกทั้งเคยมีประสบการณ์ในไทยยาวนานและเคยคุมทีมใหญ่ ฉะนั้นตรงจุดนี้ คือ ข้อโดดเด่นที่ทำให้ มาดามแป้ง เข้าไปดีลและสำเร็จในที่สุด

จุดอ่อนของ มาโน่ จะมีอยู่ 2 ข้อ คือ เก่งเกมรุกแต่ไม่เก่งการทำเกมรับ กับไม่เคยพาทีมใดๆคว้าแชมป์ได้เลย นับตั้งแต่เป็นเฮดโค้ช ขณะที่จุดเด่นของกุนซือลูกครึ่งผู้นี้ คือ เป็นกันเองกับนักฟุตบอล ไม่วางตัวเป็นจอมเผด็จการ และที่สำคัญรู้จักและมักคุ้นนักฟุตบอลไทยเป็นอย่างดี ฉะนั้นถึงตอนนี้ แฟนบอลชาวไทยคงต่างหวังว่าจุดเด่นที่ มาโน่ มี จะช่วยเสกแชมป์จ้าวอาเซียนสมัยที่ 6 ให้กับทีมชาติไทยได้

ติดตามบทความ Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“ขอโป้งเดียว ก็เพียงพอ”

หนองบัว ใช้โอกาสไม่เปลื้อง เฉือน เทโร 1-0 เก็บชัยนัดที่ 2 ในบ้าน

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 5 คู่สุดท้ายของวันเสาร์ หนองบัว พิชญ เอฟซี ที่ชนะตั้งแต่นัดแรก แล้วก็ยังไม่ชนะใครอีกเลย ต้องเปิดบ้านรับ โปลิศ เทโร เอฟซี ที่ย่ำแย่กว่าตรงที่ 4 นัดแรก ไม่ชนะใครเลย สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม เจ้าบ้านมาในระบบ 5-3-2 ส่วนทางฝั่งทีมเยือนใช้ 4-3-3

เกมการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ทั้ง 2 ทีม ต่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เสียเชิงไปก่อน กระทั่งเกมผ่านไปราว 10 นาที เทโร เริ่มพาบอลมาป่วนหน้าบ้านของคู่แข่งได้ แต่ด้วยตัวรุกที่ขึ้นมาไม่กี่คน แล้วต้องเจอแนวรับที่ยืนขวางอยู่เกินครึ่งทีม ทำให้แนวรุกของมังกรโล่ต้องใช้การเลี้ยงฝ่าและเลี้ยงกินตัว ซึ่งมันก็ช่วยให้มีโอกาสในการจบสกอร์และใกล้เคียงกับประตูขึ้นนำ แต่ นัฐพงษ์ ยังป้องกันไว้ได้แบบวุดหวิด

หนองบัว เล่นมา 20 กว่านาที แทบจะไม่จังหวะได้จบ แต่โอกาสครั้งแรกที่ได้เปิดจากริมเส้นแล้วโหม่ง ก็ได้กลายเป็นประตูขึ้น 1-0 ทันที ซึ่งในจังหวะนี้โหม่งดี แต่คู่แนวรับ เทโร ก็แบ่งหน้าที่กันผิดพลาด รวมถึงผู้รักษาประตูที่ออกมาแบบไม่ค่อยสุด ทำให้หลังจากนี้จนจบครึ่งแรก เทโร ต้องโหมเกมบุกเป็น 2 เท่า แต่กระนั้นก็ต้องพบกับงานที่ยากลำบาก เพราะคู่แข่งถอยไปรับลึกมากกว่าเดิม ทำให้การเลี้ยงฝ่าเริ่มตีบตันจนโดนโต้กลับ กระทั่งเกือบเสียประตูเพิ่ม หรือหลายครั้งต้องเลือกตัดเกมด้วยการทำฟาวล์

ครึ่งหลัง เทโร พยายามปรับวิธีการบุกเพื่อทวงประตูคืน แต่ด้วยข้อจำกัดตรงที่ตัวเองไม่โดดเด่นเรื่องการต่อบอลและขึงบุก ทำให้ต้องใช้ท่าไม้ตายแบบสิ้นคิด นั่นคือ การโยนเข้าไปลุ้น แต่มันก็เท่านั้น เพราะมังกรโล่เงินไม่มีศูนย์หน้าประเภทเข้าฮอตหรือเจ้าเวหา ส่วนทางฝั่งหนองบัว เน้นการเล่นเกมรับเป็นสำคัญ เพราะเมื่อไรที่ตัดบอลได้ ก็จะต่อเร็ว ทำเร็ว และจบเร็ว ซึ่งจากภาพที่ปรากฏมันเป็นผลเสียมากกว่า เพราะการรีบเร่งจบสกอร์ในระยะที่ไม่เหมาะสม มันไม่สามารถสร้างจังหวะให้อันตรายได้มากพอ ทำให้เมื่อครบ 90 นาที เจ้าบ้านเฉือนไป 1-0

ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม หนองบัว พิชญ เอฟซี ตั้งธงแรกไว้ด้วยการขอมีแต้ม เพราะแนวทางการเล่นเน้นไม่เสียประตู กระทั่งเมื่อได้ประตูที่ต้องการ ก็จัดการเล่นแบบรัดกุมเพื่อรักษาสกอร์ ซึ่งก็ต้องชมเกมรับที่ยืนกันได้ดี แม้จะมีหลุดไปบ้างช่วงต้น  กระนั้นทีมที่เจอวันนี้เป็นทีมศีลเสมอกัน ทำให้ไม่หนักจนเกินไปในการรับมือ ส่วนทางฝั่ง โปลิศ เทโร เอฟซี มีโอกาสแล้วทำไม่ได้ แถมยังมาโดนยิงนำไปก่อน ทำให้กลายเป็นงานหยาบในการทวงประตูคืนจากทีมที่เล่นเกมรับเหนียวแน่น สุดท้ายเมื่อเจาะไม่ได้ ก็ต้องพ่ายแพ้ไป

ติดตามบทความ Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“เม็ดเดียวก็เพียงพอ”

ท่าเรือ เปิดรีงเชือด เมืองทอง แบบมีเสียว 1-0

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 5 ในส่วนของค่ำคืนวันเสาร์ มีเกมบิ๊กแมตช์ที่สนามแพท สเตเดี้ยม การท่าเรือ เอฟซี ที่ออกไปพ่ายสุพรรณบุรีมาแบบเจ็บช้ำ จะเปิดบ้านล้างตาความแค้นกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่เก็บ 3 แต้มมาแบบลุ้นระทึก สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม เจ้าบ้านมาในระบบ 4-2-3-1 ส่วนทางฝั่งทีมเยือนใช้แผน 4-1-4-1 เหมือนเดิม

ก่อนเกมและระหว่างเกมมีฝนตกสะสมลงมาหลายวัน ทำให้สภาพพื้นสนามเปียกแฉะจนมีผลต่อทิศทางและการไหลของลูกฟุตบอล

ครึ่งแรก

โดยเมื่อเกมเริ่มขึ้น เมืองทอง สามารถโหมบุกจนมีโอกาสได้จบ แต่เมื่อเกมผ่านไป 5 นาที การท่าเรือ สามารถตัดบอลเอาไปโต้กลับได้อยู่เนืองๆ กระทั่งได้ประตูนำ 1-0 จากการโต้กลับ แล้วผู้รักษาประตูอย่าง สมพร ยศ ดันรับหลุดมือจนได้ยิงง่ายๆ หลังจากนั้น เมืองทอง พยายามจะทำเกมบุกต่อ แต่จนถึงบัดนี้มันก็เริ่มเห็นได้ชัดว่าสภาพสนามมีผลให้การต่อบอลบนพื้นช้าลง อีกด้วยฟอร์มการเล่นที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว จึงทำให้การพาบอลเข้าไปในแดน 3-4 มีน้อยมาก

ครึ่งหลัง

เมืองทอง ปรับตำแหน่งการยืน การให้บอล จนสามารถต่อบอลและโจมตีที่ว่างของเจ้าบ้านได้อย่างน้ำได้เนื้อ ขาดเพียงประตูที่บอลดันไปชนเสาและคายเสียหมด แต่อย่างไรเสียเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ แนวรับของการท่าเรือ ที่โดนเจาะจนแกว่งก็เริ่มนิ่งขึ้นจนสามารถหยุดการบุกของ กิเลนผยองได้ กระทั่งจบเกมด้วยสกอร์ 1-0 ตามเดิม

ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม การท่าเรือ เอฟซี เริ่มต้นเกมด้วยสถานการณ์ที่เป็นรอง แต่โชคดีที่คู่แข่งมีความผิดพลาด แล้วตัวเองสามารถลงโทษได้สำเร็จ กระนั้นหากมองแบบองค์รวม เกมรับก็ยังมีอาการแกว่งในบางช่วงของเกม ซึ่งก็โชคดีชั้น 2 ที่ไม่โดนยิงคืน ขณะที่เกมรุกก็เป็นอีกครั้งที่ไม่สามารถขึงคู่แข่งให้อยู่หมัดได้ ฉะนั้นการคว้า 3 แต้มในวันนี้ โค้ชโอ่งยังมีการบ้านที่แก้ไม่ตกรออยู่ ส่วนทางฝั่ง เมืองทอง ยูไนเต็ด วันนี้เหมือนจะออกสตาร์ทได้ดี แต่เมื่อยิ่งเล่นยิ่งมีความผิดพลาดกับการเสียบอลให้คู่แข่งได้โต้กลับ อีกทั้งยังมาโดนยิงประตูนำ อย่างไรเสียในครึ่งหลัง โค้ชโอ้สามารถแก้เกมจนดูเหนือกว่าและควรได้ประตูตีเสมอ แต่พอบุกหนักๆแล้วไม่ได้ ก็เริ่มออกอาการแผ่วจนจบเกม

ติดตามบทความ Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

ทีมชาติไทย ศึก AFF SUZUKI cup 2020

AFF SUZUKI  cup ได้จับสลากแบ่งสายออกมาเป็นที่เรียบร้อย

โดยการแข่งขันหนนี้ ทีมชาติไทย จัดว่าอยู่สายเบาในกลุ่ม A  เพราะคู่แข่งอย่าง มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ต่างรวมตัวกันอยู่ที่กลุ่ม B นั่นจึงทำให้ทัพช้างศึก มีโอกาสสดใสสำหรับการเข้าต่อไป แต่ก่อนจะไปพูดถึงตรงนั้น วันนี้เราจะมาดูกันว่า 4 นัด ในรอบแรกของทีมชาติไทย จะต้องเจอกับใครและคู่แข่งมีสภาพทีมเป็นอย่างไรบ้าง

5 ธ.ค. ติมอร์ หรือ บรูไน – ทีมชาติไทย

เกมเปิดหัว ทีมชาติไทย อาจเรียกได้ว่าเป็นการซ้อมใหญ่ เพราะจะต้องเจอกับทีมจากรอบเพลย์ออฟ โดยทางฝั่งติมอร์ พึ่งเจอใน SUZUKI cup 2018 ที่ราชมังคลากีฬาสถาน ทัพช้างศึกถล่มขาดลอยถึง 7-0 ส่วนทางฝั่งบรูไน เราไม่เคยกันมานานแสนนานแล้ว กระนั้นก็เชื่อว่าหากเจออีกครั้ง คงไม่เหนื่อยเกินไปสำหรับเรา

11 ธ.ค. ทีมชาติไทย – ทีมชาติเมียนมาร์

ทีมชาติไทย มีเวลาได้พักจากเกมแรกนานถึง 6 วัน โดยคู่ต่อกร คือ ทีมชาติเมียนมาร์ ซึ่งพบกันครั้งล่าสุดเมื่อ SUZUKI cup 2016 ในรอบรองชนะเลิศ แล้วเป็นขุนพลช้างศึกจัดการถล่ม 2 นัด 6-0 (0-2, 4-0) ส่วนสภาพทีมของทัพหงส์ทองในตอนนี้ ค่อนข้างกระจัดกระจาย เพราะนักเตะส่วนหนึ่งถูกจับ บางคนหลี้ภัย และหลายคนไม่ขอรับใช้ทีมชาติ ทำให้มีโอกาสสูงที่ผลงานในครั้งนี้จะย่ำแย่  

14 ธ.ค. ทีมชาติฟิลิปปินส์ ทีมชาติไทย

ให้หลัง 3 วัน ทีมชาติไทย จะต้องพบกับขุนพลตากาล็อก ที่มี สก็อต คูเปอร์ อดีตเฮดโค้ชที่เข้ามาทำงานในวงการฟุตบอลไทยนานหลายปี โดยผลงานครั้งล่าสุดที่พบกันในศึก AFF SUZUKI cup 2018 รอบแรก ทีมชาติไทย บุกไปนำก่อน แต่ถูกทีมชาติฟิลิปปินส์ ตามตีเสมอท้ายเกม ทำให้การพบกันในหนี้ไม่ง่ายแน่ เพราะนักเตะส่วนใหญ่เล่นอยู่ต่างประเทศ แล้วหนึ่งในประเทศที่โยกไปค้าแข้งมากที่สุด คือ ไทยลีก

18 ธ.ค. ทีมชาติไทย – ทีมชาติสิงคโปร์

จากนั้น 4 วัน ทีมชาติไทย จะต้องลงเล่นนัดสุดท้ายในรอบแรก กับ เมอร์ไลอ้อน ซึ่งในอดีตนับเป็นทีมที่ใครไม่อยากเจอ เพราะพวกเขาแกร่งทั่วแผ่น จนเคยรั้งตำแหน่งจ้าวอาเซียน 4 สมัย แต่สุดท้ายถูกทีมชาติไทย ปาดหน้าแซงเป็น 5 สมัย ส่วนสภาพทีมในปัจจุบัน กลายเป็นทีมระดับกลางๆของอาเซียนไปแล้ว ฉะนั้นการพบกันในนัดส่งท้าย ขอแค่ทัพช้างศึกไม่ประมาทเป็นพอ หรือเมื่อถึงเวลานั้น จ้าวอาเซียน 5 สมัย อาจจะลอยลำเข้ารอบและไม่ต้องเคร่งเครียดกับเกมนัดนี้ก็เป็นได้  

ติดตามบทความ Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“สาลี่ติดคอ”

สุพรรณบุรี กุมความได้เปรียบ เชือด การท่าเรือ 2-1 ประเดิมเก็บ 3 แต้ม

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 4 ในส่วนของคู่วันอาทิตย์ ลงสนามพร้อมกัน 3 คู่ แต่ในส่วนนี้ขอพาไปดูเกมที่ สุพรรณบุรี เอฟซี ต้องเปิดบ้านรับศึกหนัก กับ การท่าเรือ เอฟซี โดยสถานการณ์ก่อนเขี่ยบอล ทั้ง 2 ทีม ต่างต้องการ 3 แต้ม เพราะอย่างงทางฝั่งเจ้าบ้าน พวกเขายังไม่ชนะใครเลย ขณะที่ทีมเยือนต้องการแต้มเพื่อ กลับไปสู่หัวตาราง อันเป็นเป้าหมายสูงสุด สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม ช้างศึกยุทธหัตถี มาในระบบ 4-3-3 ส่วนทาวฝั่งสิงห์เจ้าท่าใช้ 4-2-3-1

เกมการแข่งเริ่มต้นขึ้น ทั้ง 2 ฝ่าย พยายามเปิดเกมบุกใส่กัน แต่ไม่ทันไร สุพรรณบุรี ดันเปิดแผลในเกมรับด้วยการยืนตำแหน่งที่หละหลวม จนปล่อยให้ บดินทร์ ได้ยิง แล้วผู้รักษาประตูดันปัดบอลมาด้านหน้าตัวเอง จนโดน โบนีญ่า ยิงซ้ำเข้าไป จากนั้นให้หลังไม่กี่นาที  จุดเปลี่ยนของเกมก็เกิดขึ้นกับการยืนคุมเส้นของ จตุภัทร แล้วมาโดนแขน ซึ่งการตัดสินไม่ต่างจากเคสของ รีส เจมส์ ที่ให้ใบแดงและจุดโทษ จนสุพรรณบุรี ตีเสมอ 1-1

หลังจาก สุพรรณบุรี ตีเสมอได้ พวกเขาก็มีช่วงเวลาที่ครองเกมและขึงบุกใส่เป็นระลอก แต่ด้วยไอเดียการเข้าที่มีเพียงโยนจากริมเส้นและยิงไกล ทำให้โอกาสที่จะยิงแซงยังห่างไกล ส่วนทางฝั่งการท่าเรือ หลังจากเสียประตู สมาธิของผู้เล่นขาดหายไปราว 5-10 นาที แต่เมื่อตั้งสติกลับมาได้ ก็จะใช้การโต้กลับด้วยการสาดบอลไปบริเวณริมเส้น เพื่อให้แนวรุกเก็บและเลี้ยงฝ่าก่อนเข้าทำ อีกทั่งยังมีบางช่วงที่ขึงได้ แต่เมื่อใดที่เสียบอล ก็มักถูกคู่แข่งโต้กลับแบบหวาดเสียวตลอด

ครึ่งหลัง สุพรรณบุรี กำลังจะขึงเพื่อบุก แต่ไม่นานก็มาได้ฟรีคลิก แล้วยิงได้ดีจนขึ้นนำ 2-1 จากนั้นกลายเป็นว่าทั้ง 2 ทีม เปิดแลกใส่กัน โดยทางฝั่ง การท่าเรือ สถานการณ์บังคับว่าต้องบุก เพราะสกอร์ตามหลัง แม้ว่าตัวผู้เล่นจะน้อยกว่า แต่ที่น่าแปลกใจ คือ สุพรรณบุรี เมื่อมีโอกาสและได้บอลก็ยังคงพยายามบุกต่อ โดยไม่อุดประตู

ในช่วง 20 นาที สุดท้าย การท่าเรือ ปรับแผนด้วยการเล่นหลัง 3 และเติมกองหน้าเป็น 2 ตัว พร้อมกับใช้แท็กติกสาดบอลยาวให้แดนหน้าเก็บ ซึ่งมันช่วยลดเวลาในการเซตจากแดนกลาง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาพวกเขาสาดบอลไม่แม่น ทำให้ สุพรรณบุรี ได้เก็บตกบอลเอามาโต้กลับ กระทั่งท้ายเกม สิงห์เจ้าท่า เริ่มออกอาการหมดแรง เพราะโหมบุกทั้งที่ตัวน้อยกว่ามาตลอดเกม แต่การโต้กลับของช้างศึกยุทธหัตถี ไม่สามารถยิงฝังได้ อีกทั้งยังมีจังหวะพลาดเกือบเสียประตู แต่โชคดีที่คู่แข่งพลาดเอง ทำให้จบเกมด้วยการเฉือนไป 2-1 เท่านั้น

ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม สุพรรณบุรี เอฟซี เป็นรองและสกอร์ตามหลังเร็ว แต่โชคดีที่ได้เปรียบตัวผู้เล่นและตีเสมอได้ อีกทั้งยังยิงประตูได้จากฟรีคลิก กระนั้นในจังหวะ Open play พวกเขาไม่สามารถแปรเปลี่ยนให้เป็นประตู ฉะนั้นหากวันนี้ไม่มีโชค เต็มที่อาจได้แค่เสมอ ส่วนทางฝั่ง การท่าเรือ เอฟซี รูปเกมกำลังได้เปรียบและเป็นใจ แต่พอโดนใบแดง สถานการณ์กลับแย่ลง โดยเฉพาะในเรื่องจิตวิทยา ที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะตั้งสติได้ อีกทั้งการเล่น 10 ตัว ก็ไม่ได้เป็นรองคู่แข่ง หากแต่พลพรรคสิงห์เจ้าท่าเล่นพลาดมากเกินไป กระทั่งเป็นมูลเหตุที่ทำให้พ่ายแพ้วันนี้

ติดตามบทความ Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“รัวเจ็ดยับ”

ขอนแก่น ดวงแตก พ่ายถล่มคาถิ่นต่อ ชลบุรี 0-7

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 4 ในส่วนของเย็นวันเสาร์ ขอนแก่น ยูไนเต็ด ได้กลับมาเปิดรังเหย้าของตัวเองด้วยการรับศึกหนัก กับ ชลบุรี เอฟซี ที่สภาพทีมลงตัวและติดลมบนสุดๆ สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม เจ้าบ้านมาในระบบ 3-4-1-2 ตามเดิม เช่นกันกับทีมเยือนที่มาในระบบเก่งอย่าง 4-4-2 แบบไดม่อน

        เกมการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น ชลบุรี เริ่มตั้งเกมด้วยการต่อบอลและเข้าสู่แดนของ ขอนแก่น แต่ผ่านไปเพียง 7 นาที ก็มาเสียจุดโทษจากการเข้าพรวด ทำให้ฉลามชล บุกมานำ 0-1 ทั้งที่ยังไม่ได้ยิงเหน่งๆ แล้วก็มาประตู 0-2 ด้วยจังหวะที่เป็นใจ จากนั้น จงอางผยอง พยายามจะทวงประตูตีเสมอ แต่ก็ต้องใช้วิธีการโยนไปให้แดนหน้าเก็บและเข้าทำ เพราะการต่อบอลจากกลางสนามขึ้นไปตะกุตะกะเหลือเกิน อย่างไรเสียสถานการณ์ก็ยิ่งเร็วร้ายกับการที่ โคโบ้ เจตนายกขายันจนโดนใบแดง กระทั่งช่วงท้ายครึ่งแรก เกมโต้กลับของ ชลบุรี ก็มาบวกประตูเพิ่มเป็น 0-3

ครึ่งหลัง ขอนแก่น ยังคงพยายามจะบุกต่อ แต่ภาพที่เห็น คือ มักโดนดักบอลและโต้กลับแบบสุดทาง กระทั่งที่กล่าวมานี้เป็นที่มาของประตู 4-0, 5-0 และ 6-0 ของ ชลบุรี โดยเมื่อยิ่งบุกยิ่งโดน อีกทั้งมีโอกาสเท่าไรก็ยิงติดเซฟติดคาน มันก็มีผลให้ความมั่นใจของผู้เล่นของขอนแก่น ถดถอย ดังจะเห็นได้จากการยิงจบสกอร์ที่อยากให้เกิดประสิทธิภาพด้วยยิงเต็มแรง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมามันดันหลุดออกไปแบบไม่มีลุ้น ขณะที่เกมรับก็เริ่มคิดเยอะจนกลายเป็นเล่นช้าและโดนฉกบอลไปยิงเป็น 0-7

        ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม ขอนแก่น ยูไนเต็ด ต้องเผชิญกับทุกอย่างที่เป็นความผิดพลาดและโมเมนที่ไม่เป็นใจ กระทั่งทุกอย่างผสมผสานจนกลายเป็นโดนถล่มเละแบบนี้ โดยอย่างแรกเริ่มจากการเสียจุดโทษเร็ว ทำให้แผนที่จะมาอุดประตูและโต้กลับเป็นอันยกเลิก จากนั้นมาโดนประตูเพิ่มและเสียผู้เล่นออกไปอีกคน ก็ยิ่งทำให้การกลับมายิ่งยากเข้าไปใหญ่ จากนั้นพวกเขาเลือกที่แลกด้วยการเปิดเกมบุก แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เข้าทางคู่แข่ง มิหนำซ้ำยังมาพลาดเองอีก นอกจากนี้การจบสกอร์หลายหนพวกเขายิงได้ดีแล้ว แต่ขาดเพียงว่ามันไม่เข้า ส่วนทางฝั่ง ชลบุรี เอฟซี วันนี้โชคเป็นใจจนปลดล็อคประตูแรกเร็ว จากนั้นก็เป็นเกมโต้กลับที่เป็นของถนัดและเก็บกินไปเรื่อยๆ กระนั้นปัญหาที่เห็นในเกมนี้ คือ การเล่นเกมรับที่ไม่ละเอียดและพลาดให้คู่แข่งยิงง่าย ซึ่งยังดีที่วันนี้คู่แข่งลงโทษไม่ได้ มิเช่นนั้นสกอร์ที่มโหฬารขนาดนี้อาจไม่เกิดขึ้น   

ติดตามบทความ Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“พลาดกันคนละที”

เชียงใหม่ เปิดบ้านท่ามกลางสายฝน เจ๊า นครราชสีมา 1-1  

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 4 ในส่วนของคู่เย็นวันอาทิตย์ เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ที่กำลังโหยหาชัยชนะนัดแรกของฤดูกาล เปิดบ้านรับ นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ที่อย่างน้อยๆอยากจะมาเก็บสักแต้มออกไป ส่วนในเรื่องของผังการเล่น เจ้าบ้านมาในระบบเดิม คือ 3-5-2 ขณะที่ทีมเยือนใช้ 4-2-1-3  

        เปิดเกมมาเป็น เชียงใหม่ ที่ดูดีกว่านิดๆ กับการเปิดจากริมเส้นมายังหน้าประตู ซึ่งการเปิดซ้ำๆถี่ๆนับเป็นการจี้จุดอ่อนของคู่กองหลัง นครราชสีมา ได้เป็นอย่างดี แต่การเปิดเข้ามาหลายครั้งจังหวะยังไม่พอดี ทำให้การโหม่งเข้ากรอบและลุ้นประตูยังไม่มี จากนั้นฝนได้เทลงมาอย่างหนัก แต่สภาพสนามยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอดเยี่ยม กระนั้นด้วยสภาวะที่มีน้ำอยู่ตามลายหญ้า ทำให้การส่งบอลมีโอกาสที่น้ำหนักจะขาด กระทั่งปัญหาที่ว่านี้ได้กลายเป็นประตูนำ 1-0 ของเจ้าบ้าน เพราะแนวรับทีมเยือนส่งบอลน้ำหนักขาด จน โบลี่ ได้ฉกบอลไปยิง

        หลังจากได้ประตูขึ้นนำ เชียงใหม่ ได้ใจและพยายามจะเปิดเกมบุก แต่การเสียบอลจนโดนโต้กลับ แล้วแนวรับยังยืนไม่เข้าที่ มันก็เป็นการเปิดช่องให้ โคราช มีช่องได้จบสกอร์ แต่ อัปเปียห์ ดันจบสกอร์ในระยะที่ไม่ดีและยิงไม่ละเอียดเลย     

ครึ่งหลัง โคราช พยายามจะเปิดบุกด้วยการโยนและเจาะตามช่อง ซึ่งก็มีจังหวะได้เข้าทำ แต่ยังไม่คมพอ กระนั้นด้วยความผิดพลาดของ นนท์ ที่ดูจะรับบอลไม่ค่อยอยู่มือหลายจังหวะตั้งแต่ครึ่งแรก ก็ดันมาก่อความผิดพลาดด้วยคว้าบอลหลุดมือ จน เฉลิมพงษ์ ยิงซ้ำซ่อๆ ตีเสมอ 1-1 จากนั้นกลายเป็น สวาทแคท ได้บุกต่อเนื่อง ตรงข้ามกับ เชียงใหม่ ที่ได้เพียงรอโต้กลับเท่านั้น แต่อย่างไรเสียทั้ง 2 ทีม ต่างยิงเพิ่มกันไม่ได้ ทำให้จบเกมด้วยการแบ่งแต้ม

        ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ก่อนหน้านี้มีผลงานที่ไม่ดี แล้วจะมองว่าเพราะเจอกับทีมใหญ่ ก็คงไม่ผิดนัก แต่ในนัดนี้ถือว่าน่าผิดหวังที่ไม่สามารถทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันและเหนือกว่าผู้มาเยือนได้เลย โดยประตูที่ได้ก็มาจากความผิดพลาดของคู่แข่ง ส่วนประตูที่เสียก็เพราะตัวเองผิดพลาดเหมือนกัน ทำให้นับจากนี้น่าเป็นห่วงเหลือเกิน สำหรับช้างศึกล้านนา ส่วนทางฝั่ง นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี หากไม่นับความผิดพลาดในแนวรับที่จ่ายบอลคืนหลังพลาด กับโชคที่ได้จาการยิงตีเสมอ พวกเขายังมีรายละเอียดที่ต้องปรับ เริ่มจากแนวรับที่ออกอาการแกว่งเมื่อโดนกดหัวนานๆ ขณะที่เกมรุกมีโอกาสพอสมควร แต่การจบสกอร์ย่ำแย่จนต้องไปปรับมาอีกเยอะ มิเช่นนั้นฤดูกาลนี้จะเหนื่อย   

ติดตามบทความ Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“เชือกกล้วยพันคองูเหลือม”

บียู ปลดล็อคสถิติโค่น บุรีรัมย์ ในถิ่น 2-0

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 4 ในส่วนของเย็นวันเสาร์ เกมบิ๊กแมตช์ของสัปดาห์นี้อยู่ที่สนามธรรมศาสตร์ รังสิต ซึ่งเป็นการพบกันระหว่าง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่อยากจะล้างอาย หลังจากบุกไปโดนสมุทรปราการเผาเครื่องมา กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ฟอร์มดีในบ้าน แล้ววันนี้ต้องออกมาเยือนเป็นนัดแรก ส่วนระบบการเล่นของทั้ง 2 ทีม ใช้ 3-5-2 มาชนกัน

        ในช่วงต้นเกมยังไม่ค่อยออกอาวุธกันเท่าไร แต่เมื่อไรที่ บุรีรัมย์ ครองบอลบริเวณกลางสนามแล้วช้า ก็จะถูกแนวรุกของแบงค็อก รุมเพรสซิ่งจนเสียแล้ว มันมีจังหวะเหน่งๆที่น่าเป็นประตู แต่ไม่ได้ จากนั้นเมื่อเกมผ่าน 10 นาที บียู เริ่มต่อบอลกับพื้นได้ แต่เมื่อเข้าแดน 3-4 ของคู่แข่ง จะเน้นการเลี้ยงฝ่า การแทง หรือทำใดๆที่ให้เกิดความรวดเร็ว ซึ่งเวลายิ่งผ่านไปเท่าไร แข้งเทพ ก็เริ่มจะพาบอลเข้ามาได้ถี่ขึ้น ขาดเพียงการได้ประตู ขณะที่ทางฝั่งบุรีรัมย์ มีการสาดยาวและต่อบอลจากกลางสนามแล้วรีบจบสกอร์ แต่หากพูดโอกาสที่จะเป็นประตูจัดว่าน้อย เพราะมันเป็นการเปิดจากริมเส้นที่ไม่ค่อยเข้าหัวหรือเท้าของกองหน้าตัวเป้า    

ครึ่งหลัง บียู พยายามปรับวิธีการให้บอลที่แม่นยำเพื่อเพิ่มโอกาสบอลให้บอลถึงแดนอันตรายมากขึ้น ซึ่งมันก็ช่วยให้เห็นผลลัพธ์ในระดับหนึ่ง กระทั่งประตูนำ 1-0 มาจากการชิงบอลกลางสนาม แล้วเป็นเจ้าบ้านที่เก็บได้ โดยจังหวะลากของ เฮแบร์ตี้ แนวรับของบุรีรัมย์ พลาดในการยืนประกบ และกองหลังตัวไกลก็ผิดพลาดที่ยืนไม่เท่าไลน์เพื่อน ทำให้ ปกเกล้า หลุดเดี่ยวไปดวลตัวต่อตัวกับ ศิวรักษ์ แล้วยิงบอลส่งก้นตาข่าย จากนั้นบุรีรัมย์ พยายามเติมแนวรุกและทำเกมบุกด้วยความรวดเร็ว เพื่อหนีการประกบแน่น แต่สุดท้ายก็ติดแนวรับเจ้าบ้าน นอกจากนี้การต่อบอลยังมีความผิดพลาดจนโดนโต้กลับ แล้วโดน เฮแบร์ตี้ ยิงหนีเป็น 2-0 ส่วน 20 นาทีที่เหลือ นักรบปราสาทสายฟ้าพยายามจะบุกต่อ แต่ไอเดียเดิมๆมุกเดิมๆ ก็ไม่ช่วยให้พวกเขายิงประตูตีตื้นได้

        ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ถือว่าออกสตาร์ทเกมนี้ได้ดี เพราะสามารถยืนเกมรับได้เหนียวแน่จนไม่ต้องกังวล ขณะที่เกมรุกสามารถใช้จังหวะฉาบฉวยเล่นงานได้ดี ขาดเพียงไม่มีประตู แต่พอครึ่งหลัง เมื่อมีโอกาสก็สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้ ส่วนทางฝั่ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เกมรุกมามุกแบบเดิมๆ แล้ววันนี้เจอคู่แข่งที่ยืนเกมรับดี ทำให้เจาะยังไงก็ไม่เข้า เช่นกันกับเกมรับที่ยังผิดพลาดเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการยืนตำแหน่งและแบ่งหน้าที่กันประกบ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะโดนยิง 2 ดอกเน้นๆ  

ติดตามบทความ Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover

Categories
Sport

“เหลือ 10 ตัว ก็ต้านไม่อยู่” สุดท้ายไม่รอด

ศึกฟุตบอลรีโว่ไทยลีก นัดที่ 3 ของฤดูกาล คู่เปิดหัวอยู่ที่สนาม กกท บางพลี สมุทรปราการ ซิตี้

ที่ผลงานการออกไปเยือนใช้ได้ กลับมาเปิดรังเหย้านัดแรกด้วยศึกหนัก กับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่ต้องการ 3 แต้ม ในทุกเกมที่ลงแข่งขัน สำหรับผังการเล่นของทั้ง 2 ทีม เจ้าบ้านมาในระบบ 4-4-2 ส่วนทางฝั่งทีมเยือนก็มาในระบบเก่ง 4-3-3

        ในช่วงต้นเกม แบงค็อก ดักและเก็บบอลได้ ทำให้มีเกมโต้กลับขึ้นมาแต่การเติมเกมไม่มี ทำให้กองหน้าทั้ง 2 ฝั่ง ต้องอาศัยการเลี้ยงฝ่าแล้วถูกตัดฟาวล์ จากนั้น บียู ก็เริ่มครองเกมได้เหนือกว่า แต่การเจอกับแนวรับที่ยืนได้อย่างมีวินัยจัด ทำให้การเจาะพื้นที่แดนสุดท้ายทำไม่ได้ พลางจะเลี้ยงฝ่าก็โดนซ้อนโดนรุม สุดท้ายต้องโยนบอลและยิงไกลแทน จากนั้นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมนี้ คือ ใบแดงของ ทศวรรษ ที่เอาเท้าไปยันใส่โค่นขาหนีบของ เจริญศักดิ์ แบบไม่มีเหตุจำเป็น ทำให้หลังจากเหลือผู้เล่น 10 คน เกมรุกของแข้งเทพก็แทบจะดับวูบลงไปด้วย กระทั่งกลายเป็นเกมที่สูสีขึ้นมา   

ครึ่งหลังเริ่มต้นขึ้นมา จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง กับการเลี้ยงจี้เข้าไปของเจริญศักดิ์ แล้วเปิดแบบกึ่งยิงกึ่งผ่านแบบตรงๆไม่มีโค้ง แต่แนวรับของ แบงค็อก สกัดไม่โดนสักคน ทำให้ตัวที่อยู่เสาไกลยิงจ่อๆขึ้นนำ 1-0 จากนั้น บียู พยายามจะครองบอลบุก แต่ด้วยตัวที่น้อยกว่าและโดนเพรสซิ่งอย่างหนักหน่วง จึงยิ่งทำให้การเล่นยากลำบากขึ้นและครองบอลต่อจังหวะได้ไม่นาน กระทั่งต้องหันเหไปใช้ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะในการเลี้ยงฝ่า แต่มันก็เท่านั้น เพราะสมุทรปราการ มีการซ้อนและบีบช่องให้แคบตลอดเวลา

        การยืนซ้อน การบีบเพรสซิ่ง ช่วยให้สมุทรปราการ สามารถตัดบอลและโต้กลับอยู่ตลอด แต่ทุกครั้งจะเล่นด้วยความรอบครอบ กล่าวคือ ถ้ามีช่องมีโอกาสก็จะเร่งจังหวะเพื่อเข้าทำ แต่ถ้าช่องเริ่มปิดก็จะเน้นการครองบอลเอาชัวร์ในแดนคู่แข่ง ซึ่งวิธีการแบบนี้ช่วยให้พวกเขาได้ประตูเพิ่มเป็น 3-0 อย่างไรเสียเมื่อเขี้ยวสมุทร ยิงทิ้งห่าง ก็มีภาพของความหละหลวมให้เห็น จนกลายเป็นประตูตีไข่แตก 3-1 แต่สุดท้าย แข้งเทพ ก็ไล่ไม่ทันและพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์นี้ 

ภาพรวมของทั้ง 2 ทีม สมุทรปราการ ซิตี้ มีเกมที่เหนียวแน่นและมีระเบียบวินัย ทำให้ไม่เสียประตูในช่วงที่เกมยัง 0-0 ส่วนเกมรุก เมื่อมีโอกาสก็จะฉวยจังหวะจนเป็นประตูได้ ทำให้หลังจากนั้นเล่นสบาย เพราะได้โต้กลับแบบมีช่องเยอะ ส่วนทางฝั่ง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ไม่มีอะไรที่สู้เจ้าบ้านได้เลย เพราะตอนที่มี 11 ตัวเท่ากัน เกมรุกไร้ซึ่งไอเดียการเข้าทำ กระทั่งต้องพึ่งทักษะเฉพาะตัวของนักเตะเพียงอย่างเดียว อีกทั้งความผิดพลาดของกองหลัง ก็ยิ่งทำให้เกมนี้เล่นยากเข้าไปใหญ่ สุดท้ายจึงต้องพ่ายแพ้ไปตามระเบียบ       

ติดตามบทความ Sport ในทุกสัปดาห์ได้ที่ tarutaofc.com

FB : Sport lover